ศาลปค.ยันไม่เกี่ยวแบบอาคาร ขู่ให้ร้ายศาลเจอข้อหาหมิ่น เฮียขาว ยังล่องหน ตร.เรียกสอบ 13 กก.ซานติก้า

ศาลปค.ยันไม่เกี่ยวแบบอาคาร ขู่ให้ร้ายศาลเจอข้อหาหมิ่น เฮียขาว ยังล่องหน ตร.เรียกสอบ 13 กก.ซานติก้า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ศาลปกครองชี้ไม่เกี่ยวแบบอาคาร ระบุตัดสิน จนท.ทำมิชอบ ขู่ใครให้ร้ายศาลเจอข้อหาหมิ่น ตร.เรียกสอบ 13 กก.ซานติก้า แล้ว บุกตรวจสอบบ้าน เฮียขาว เจ้าของล่องหน จงรัก ปัดตั้งข้อหาเบาช่วย

บิ๊กตร.ถกคลี่คดีผับมรณะ

นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เร่งประชุมคลี่คลายคดีเพลิงไหม้ซานติก้า ผับ ย่านเอกมัย สุขุมวิท เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่จะต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อเหตุโศกนาฏกรรมในคืนข้ามปี ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 60 คน และบาดเจ็บกว่า 200 คน และเตรียมออกหมายเรียกผู้บริหารซานติก้า ผับ 13 คนมาสอบปากคำ หลังจากนัดสอบปากคำนายวิสุข หรือ เฮียขาว เสร็จสวัสดิ์ หุ้นส่วนใหญ่แล้วแต่เจ้าตัวยังล่องหน โดยจะแจ้งข้อหาเพียงข้อหาเดียวคือปล่อยให้เยาวชนอายุไม่ถึง 20 ปี เข้าไปใช้บริการในสถานบันเทิง

การประชุมคลี่คลายคดีเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 3 มกราคม ที่ สน.ทองหล่อ พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพาณิชย์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) พล.ต.ท.ดนัยธร วงศ์ไทย ผู้บัญชาการสำนักงานวิทยาการตำรวจ (ผบช.สนว.ตร.) พล.ต.ท.สมเดช ขาวขำ ผู้บัญชาการสำนักงานเทคโนโลยีและการสื่อสาร (ผบช.สทส.) พล.ต.ต.โชคชัย ดีประเสริฐวิทย์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 (ผบก.น.5) พ.ต.อ.ขจรศักดิ์ ปานสาคร รอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผกก.สน.ทองหล่อ พ.ต.อ.นิธิ บิณฑุวงศ์ ผกก.กลุ่มงานตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและการส่งกลับ สนว.ตร. และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) พนักงานสอบสวน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมคลี่คลายคดีและหาวิธีตรวจพิสูจน์ศพผู้เสียชีวิต ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

เร่งพิสูจน์ศพเหยื่อให้ญาติ

พล.ต.ท.บุญเรือง กล่าวว่า ได้รับคำสั่งจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ให้มาตรวจสอบและรับผิดชอบในส่วนของการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ พิสูจน์หลักฐาน และการส่งศพให้ทางญาติ ถึงขณะนี้มีศพที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้ใด 13 ศพ อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 5 ศพ และโรงพยาบาลตำรวจ 8 ศพ เนื่องจากไฟไหม้ค่อนข้างมาก ทำให้ยากต่อการพิสูจน์ กลุ่มงานตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์จะใช้ระบบเดียวกับการตรวจพิสูจน์ศพเหยื่อสึนามิ ซึ่งเป็นระบบสากล เรียกว่า อินเตอร์โพล เหตุที่ยากเพราะไม่สามารถพิสูจน์ทางลายนิ้วมือได้ จึงใช้วิธีเอ็กซ์เรย์ศพทั้งหมดเพื่อตรวจหารอยหักของกระดูกหรือซี่โครงต่างๆ ในกรณีเคยเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ อยากให้ญาตินำประวัติต่างๆ หรือเวชระเบียนที่ผู้เสียชีวิตเคยรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆมาให้เจ้าหน้าที่เก็บข้อมูลตรวจพิสูจน์ พร้อมให้นำของใช้ของผู้เสียชีวิต เช่น แปรงสีฟัน หรือเส้นผม เส้นขน รวมทั้งประวัติการทำฟัน หรืออื่นๆ มาให้ตรวจสอบ ก่อนนำประมวลผลกันว่า ตรงกันหรือใกล้เคียงกันหรือไม่ หากหาไม่ได้ก็ต้องพิสูจน์ทางดีเอ็นเอจากพ่อ แม่ หรือผู้สืบเชื้อสายจะค่อนข้างมีความแม่นยำ เมื่อนำข้อมูลทั้ง 2 แบบมาเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลแล้ว หากใกล้เคียงกัน จะประชุมสรุปว่าใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็จะมีมติให้ปล่อยศพได้

ส่วนสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้นั้น พล.ต.ท.บุญเรือง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด ต้องให้กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.)ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกหลายรอบ เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากที่สุด จากนั้นนักวิทยาศาสตร์จะูจน์เรื่องนี้

เรียกสอบ13กก.ผับ-เฮียขาวล่องหน

พล.ต.ต.โชคชัย กล่าวว่า พนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกคณะกรรมการทุกคนที่เกี่ยวข้องกับซานติก้าผับ 3 ครั้ง หากไม่มารายงานตัวก็ต้องขออนุมัติศาลออกหมายจับ เจ้าหน้าที่ไปบ้านของเจ้าของซานติก้าผับแล้ว แต่ยังไม่พบตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อผู้บริหารซานติก้าผับที่เข้าข่ายถูกออกหมายเรียกมาพบ เป็นรายชื่ออยู่บนปกหลังซีดีที่ซานติก้าผับทำแจกในคืนอำลา ประกอบด้วย 1.นายต่อศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ Exculsive Director 2.นายรุ่งยศ จันทภาษา Exculsive Director 3.นายอิสิยะ ทรงสุวรรณ Exculsive Director 4.นายณฐพล วงศ์มณีวรรณ Exculsive Director 5.นายธวัชชัย ศรีทุมมา ผู้อำนวยการ (ผอ.)ฝ่ายสำนักงานและปฏิบัติการ 6.นายสมพงษ์ วงษ์จันทร์เพ็ญ รองผอ.ฝ่ายสำนักงานและบัญชี

7.นายฉัตรพิรุณ โตศะสุข ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและบันเทิง 8.นายพงษ์เทพ จินดา ผู้จัดการฝ่ายบันเทิง 9.นายพุฒิพงษ์ ไวยลักรี ผู้จัดการฝ่ายการตลาด 10.นางสาวนวลฉวี นิตย์งาม Account and Audit 11.น.ส.นฤชล เศวตกิตติกุล Account and Audit 12.น.ส.สายสุนีย์ อินพาเพียร ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ 13.น.ส.สุนันทา เชงสันติสุข ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์

จงรัก แจงเหตุตั้งข้อหาแรกเบา

ด้าน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. ฝ่ายป้องกันปราบปรามอาชญากรรม กล่าวถึงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนเหตุเพลิงไหม้ ว่า ตั้งให้ พ.ต.อ.ขจรศักดิ์ ปานสาคร รอง ผบก.น.5 เป็นหัวหน้าทีมสืบสวนสอบสวน เริ่มจากจะแจ้งข้อกล่าวหาตามความผิด พ.ร.บ.สถานบริการ ฐานปล่อยให้เยาวชนอายุไม่ถึง 20 ปี เข้าไปใช้บริการในสถานบริการในสถานบันเทิงก่อน แม้จะเป็นความผิดเล็กน้อยแต่ผิดชัดเจน เพราะมีผู้ปกครองแจ้งว่ามีบุตรหลานอายุไม่ถึง 17 ปีเข้าไปเที่ยว สำหรับข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตนั้น ต้องรอผลการตรวจพิสูจน์ และสอบปากคำผู้เกี่ยวข้อง ก่อนว่าใครเกี่ยวข้อง มีส่วนบ้าง จึงจะแจ้งข้อหาได้ ยืนยันว่าไม่เข้าข้างหรือช่วยเหลือใคร หากผิดก็ดำเนินดดี

เน้นสอบ3กลุ่มเอี่ยวเอฟเฟค

พล.ต.อ.จงรัก กล่าวด้วยว่า สั่งการให้พนักงานสอบสวนแบ่งผู้อยู่ในข่ายต้องสอบสวนเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก เจ้าของ กรรมการผู้จัดการ และผู้จัดทำเอฟเฟค จนทำให้เกิดประกายไฟติดเพดานฝ้าจนทำให้เพลิงลุกไหม้ กลุ่มที่ 2 นักดนตรี ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการทำเอฟเฟค เพราะกลุ่มนักดนตรีได้ขนย้ายเครื่องดนตรีออกไปก่อนจะเกิดเพลิงลุกไหม้ อาจรู้เห็นสิ่งที่กระทำลงไป กลุ่มที่ 3 กลุ่มแขกที่เข้ามาเที่ยว มีส่วนในการทำเอฟเฟค หรือนำดอกไม้ไฟจุดในผับด้วยหรือไม่ ต้องรอผลตรวจสอบพยานหลักฐานไปถึงกลุ่มใดต้องดำเนินคดีกลุ่มนั้น

ศาลปค.ปัดคุ้มครองซานติก้า

ทางด้าน นายสุชาติ เวโรจน์ เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ออกคำชี้แจงกรณีมีผู้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทำนองชวนให้สังคมเข้าใจศาลปกครองส่วนทำให้เกิดเหตุเศร้าสลดหลังจากมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ผู้ประกอบการเปิดซานติก้าผับต่อไปได้จนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ว่า ผู้ประกอบการได้ฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2547 อ้างว่า ได้ยื่นขออนุญาตจัดตั้งสถานบันเทิงตามเงื่อนไขของกฎหมายต่อผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ (ผกก.สน.ทองหล่อ) แต่ ผกก..ทองหล่อละเลยล่าช้าไม่ออกใบอนุญาตจัดตั้งสถานบริการ ทำให้ผู้ประกอบการถูกจับกุมในข้อหาเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ประกอบการจึงฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางพร้อมกับขอคุ้มครองชั่วคราว ต่อมาศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2547 แต่ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นด้วย จึงได้ยกเลิกเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2547

ชี้ตร.มิชอบ-ให้ร้ายศาลเจอหมิ่น

คำชี้แจงของศาลปกครองระบุอีกว่า ความถูกหรือผิดตามแบบของอาคารซานติก้าผับเป็นเรื่องของตำรวจและเจ้าหน้าที่โยธาที่จะต้องวินิจฉัยไม่ได้เกี่ยวกับศาลปกครองแต่ประการใด เพราะ 1.การพิจารณาของศาลเป็นเรื่องกรณีตำรวจละเลยล่าช้าในการออกใบอนุญาตสถานบริการซานติก้าเท่านั้น 2.ไม่มีประเด็นเรื่องความถูกผิดตามกฎหมายของแบบอาคารแซนติก้าผับ มาให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวอย่างที่เป็นข่าวแต่ประการใด อนึ่ง สำนักงานศาลปกครองขอเรียนว่า

คำชี้แจงระบุว่า ต่อมาวันที่ 7 มีนาคม 2550 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้ ผกก.สน.ทองหล่อกับพวกแพ้คดี โดยศาลพิเคราะห์ว่าผู้ประกอบการได้ยื่นแจ้งตั้งสถานบริการโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย นอกจากนี้ศาลยังเห็นว่า ไม่มีกฎหมายกำหนดให้ขณะยื่นแจ้งตั้งสถานบริการ ต้องมีอาคารที่ตั้งของสถานบริการที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ เพราะการยื่นขออนุญาต ผู้ประกอบการต้องยื่นแบบแปลนและผังก่อสร้างอาคารที่ผ่านความเห็นชอบของเจ้าหน้าที่โยธา กรุงเทพมหานคร แนบให้ตำรวจพิจารณาอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่ตำรวจแจ้งว่า ซานติก้า ผับอยู่นอกเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ (โซนนิ่ง) ศาลเห็นว่า ผู้ประกอบการได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2546 ก่อน พ.ร.บ.สถานบริการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2549 จะใช้บังคับ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ศาลปกครองกลางจึงพิพากษาว่า ตำรวจใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาตำรวจอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุด ขณะนี้ยังไม่ทราบผล ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ศาลจะมีคำสั่งในเรื่องที่ผิดกฎหมาย การให้ข่าวในทำนองชวนให้สังคมเข้าใจว่าศาลมีส่วนร่วมเป็นต้นเหตุของการทำให้เกิดเหตุร้ายครั้งนี้ อาจเข้าข่ายหมิ่นประมาทศาล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook