ฝนผิดฤดูกระหน่ำพิษณุโลกทะลักท่วมนา
ที่แปลงนาข้าว บ้านวังขี้เหล็ก ต.ท่าช้าง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก มีรถเกี่ยวข้าวหลายสิบคัน ที่กำลังเร่งเก็บเกี่ยวข้าวในนา แม้ว่าจะเป็นข้าว ที่ยังไม่ได้อายุเก็บเกี่ยว หรือข้าวเขียว เนื่องจาก แปลงนาข้าวบริเวณดังกล่าว กำลังถูกน้ำเหนือไหลบ่าทะลักเข้าท่วมแปลงนาในหมู่บ้าน จำนวนหลายร้อยไร่ บางแปลงเจ้าของใช้วิธีเร่งสูบน้ำออกจากนาข้าว เพื่อลดความเสียหาย แต่บางแปลงจำเป็นต้องเร่งเกี่ยวหนีน้ำ ก่อนที่น้ำจะเข้าท่วมนาข้าวจนเสียหายทั้งหมด
โดย นายสมควร รุ่งเรือง ผู้ใหญ่บ้าน ได้เปิดเผยว่า หลังจากที่มีฝนหลงฤดู ตกหนักติดต่อกัน 3 วัน 3 คืน ทำให้มีปริมาณน้ำฝนขังอยู่ในแปลงนาข้าวเป็นจำนวนมาก ประกอบกับมีน้ำเหนือที่ไหลมาจากจังหวัดสุโขทัย ไหลบ่ามาสมทบ ไม่ต่างจากฤดูน้ำหลาก ไหลเข้าท่วมนาข้าว ทำให้ชาวนาต้องเร่งเกี่ยวข้าวทั้งกลางวันกลางคืน เพื่อลดความเสียหายบางราย ข้าวที่เก็บเกี่ยวมาถูกน้ำแช่ขังเป็นเวลาหลายวัน ทำให้เมล็ดข้าวเปลี่ยนเป็นสีดำ โรงสี หรือท่าข้าวไม่ยอมรับซื้อ ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ซึ่ง นายสมควร กล่าวว่า ปกติข้าวเปลือกที่เก็บเกี่ยวก็ขายได้ราคาไม่ถึง 7 พันบาทอยู่แล้ว มาประสบเหตุการณ์น้ำท่วมนาข้าวหน้าแล้ง ซ้ำเติมไปอีก ทำให้ขณะนี้ชาวนาได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก
ขณะที่ ที่บริเวณบ้านย่านใหญ่ หมู่ 10 ตำบลท่านางงาม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มชาวนา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จากอำเภอเมือง และอำเภอพรหมพิราม ได้รวมตัวกันร้องขอความช่วยเหลือจากหลายหน่วยงาน เพื่อทลายฝายดินกั้นทางน้ำ ที่สร้างเพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งที่บริเวณดังกล่าว
หลังจากปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดมีพายุฝนกระหน่ำติดต่อกันหลายวัน ทำให้ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีน้ำเหนือไหลบ่ามาสมทบ ไม่ต่างจากฤดูฝน และขณะนี้มีนาข้าวของเกษตรกรถูกน้ำท่วมเสียหายแล้วหลายพันไร่ โดย นายณรงค์ เนตรสว่าง สมาชิก อบต.บ้านกร่าง เมืองพิษณุโลก ได้เปิดเผยว่า เฉพาะที่หมู่ 10 ต.บ้านกร่าง ก็มีนาข้าวที่ได้อายุเก็บเกี่ยวถูกน้ำท่วมเสียหายสิ้นเชิงไปแล้วไม่ต่ำกว่า 1 พันไร่ ซึ่งกลุ่มชาวนาได้ พยายามติดต่อหน่วยงานต่างๆ ทั้ง อบต.ในพื้นที่ อบจ. ชลประทาน และหน่วยงานทางทหาร เพื่อขอความช่วยเหลือในการนำรถขุด มาทลายฝายดินเพื่อเปิดทางน้ำ เป็นการบรรเทาความเสียหาย แต่เนื่องจากวันนี้ เป็นวันหยุดราชการ ทุกหน่วยงานที่ติดต่อแจ้งว่า ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ให้ได้ สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มชาวนาที่มาวันนี้เป็นอย่างมาก โดยนายณรงค์ได้กล่าวว่า สถานการณ์น้ำยังคงมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าหากไม่ได้รับความช่วยเหลือในวันนี้ นาข้าวในพื้นที่ จะต้องเสียหายไม่ต่ำ 6 พันไร่ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความเสียหาย หลายร้อยล้านบาท
โดย นายสมควร รุ่งเรือง ผู้ใหญ่บ้าน ได้เปิดเผยว่า หลังจากที่มีฝนหลงฤดู ตกหนักติดต่อกัน 3 วัน 3 คืน ทำให้มีปริมาณน้ำฝนขังอยู่ในแปลงนาข้าวเป็นจำนวนมาก ประกอบกับมีน้ำเหนือที่ไหลมาจากจังหวัดสุโขทัย ไหลบ่ามาสมทบ ไม่ต่างจากฤดูน้ำหลาก ไหลเข้าท่วมนาข้าว ทำให้ชาวนาต้องเร่งเกี่ยวข้าวทั้งกลางวันกลางคืน เพื่อลดความเสียหายบางราย ข้าวที่เก็บเกี่ยวมาถูกน้ำแช่ขังเป็นเวลาหลายวัน ทำให้เมล็ดข้าวเปลี่ยนเป็นสีดำ โรงสี หรือท่าข้าวไม่ยอมรับซื้อ ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ซึ่ง นายสมควร กล่าวว่า ปกติข้าวเปลือกที่เก็บเกี่ยวก็ขายได้ราคาไม่ถึง 7 พันบาทอยู่แล้ว มาประสบเหตุการณ์น้ำท่วมนาข้าวหน้าแล้ง ซ้ำเติมไปอีก ทำให้ขณะนี้ชาวนาได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก
ขณะที่ ที่บริเวณบ้านย่านใหญ่ หมู่ 10 ตำบลท่านางงาม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มชาวนา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จากอำเภอเมือง และอำเภอพรหมพิราม ได้รวมตัวกันร้องขอความช่วยเหลือจากหลายหน่วยงาน เพื่อทลายฝายดินกั้นทางน้ำ ที่สร้างเพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งที่บริเวณดังกล่าว
หลังจากปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดมีพายุฝนกระหน่ำติดต่อกันหลายวัน ทำให้ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีน้ำเหนือไหลบ่ามาสมทบ ไม่ต่างจากฤดูฝน และขณะนี้มีนาข้าวของเกษตรกรถูกน้ำท่วมเสียหายแล้วหลายพันไร่ โดย นายณรงค์ เนตรสว่าง สมาชิก อบต.บ้านกร่าง เมืองพิษณุโลก ได้เปิดเผยว่า เฉพาะที่หมู่ 10 ต.บ้านกร่าง ก็มีนาข้าวที่ได้อายุเก็บเกี่ยวถูกน้ำท่วมเสียหายสิ้นเชิงไปแล้วไม่ต่ำกว่า 1 พันไร่ ซึ่งกลุ่มชาวนาได้ พยายามติดต่อหน่วยงานต่างๆ ทั้ง อบต.ในพื้นที่ อบจ. ชลประทาน และหน่วยงานทางทหาร เพื่อขอความช่วยเหลือในการนำรถขุด มาทลายฝายดินเพื่อเปิดทางน้ำ เป็นการบรรเทาความเสียหาย แต่เนื่องจากวันนี้ เป็นวันหยุดราชการ ทุกหน่วยงานที่ติดต่อแจ้งว่า ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ให้ได้ สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มชาวนาที่มาวันนี้เป็นอย่างมาก โดยนายณรงค์ได้กล่าวว่า สถานการณ์น้ำยังคงมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าหากไม่ได้รับความช่วยเหลือในวันนี้ นาข้าวในพื้นที่ จะต้องเสียหายไม่ต่ำ 6 พันไร่ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความเสียหาย หลายร้อยล้านบาท
สนับสนุนเนื้อหา
