ยูเนสโกแถลงเสียใจไทยถอนตัวภาคีมรดกโลก
นางอิรินา โบโกว่า ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก แถลงการณ์ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง หลังการประกาศลาออกจากการเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลก ค.ศ. 1972 จากคณะผู้แทนไทย เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ที่ผ่านมา ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 35 ที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโก กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
โดย นางโบโกว่า กล่าวว่า อนุสัญญามรดกโลก ค.ศ. 1972 ไม่เพียงเป็นแค่ เครื่องมือสำคัญ ในการอนุรักษ์ และคุ้มครองทรัพย์สมบัติทางวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติของโลก ซึ่งมีคุณค่าอย่างโดดเด่น แต่ยังรับทราบกันดีว่ายังเป็นเครื่องมือที่สำคัญและจำเป็นยิ่ง ในการพัฒนา การสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศ และการหารือร่วมกัน
ซึ่งในทางตรงกันข้าม จากการรายงานอย่างกว้างขวางของสื่อมวลชน คณะกรรมการมรดกโลกไม่ได้มีการหารือเกี่ยวกับแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร หรือร้องขอ สำหรับรายงานใดๆ ที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานะของการอนุรักษ์ ยิ่งกว่านั้น คือความจำเป็นต้องให้ความชัดเจนว่า ศูนย์มรดกโลกของยูเนสโก ไม่เคยถูกผลักดันโดยคณะกรรมการให้หารือแผนบริหารจัดการ และการตัดสินใจของคณะกรรมการมรดกโลก เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารในประเทศกัมพูชา เพียงการย้ำจุดยืน ถึงความจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่า จะต้องมีการป้องกันและอนุรักษ์ ปราสาทพระวิหารจากความเสียหาย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ทั้งสองประเทศ ใช้อนุสัญญาการคุมครองปี 1972 ว่าด้วย การใช้เครื่องมือเพื่อสนับสนุน อนุรักษ์ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงก่อให้เกิดการเจรจา
แถลงการณ์ ยังระบุด้วยว่า ทางคณะกรรมการฯ ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ ภายหลังไทยประท้วงเดินออกจากที่ประชุม ข้อเรียกร้องของไทยที่ให้เลื่อนการพิจารณา ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก นอกจากนี้ นางโบโกว่า ยังกล่าวเน้นย้ำว่า มรดกโลกควรทำหน้าที่ ไม่ใช่สำหรับความขัดแย้ง แต่เป็นเครื่องมือสำหรับการเจรจาและการประนีประนอมมรดกโกล และจะยังคงมีส่วนร่วมในความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นของโลกต่อไป
โดย นางโบโกว่า กล่าวว่า อนุสัญญามรดกโลก ค.ศ. 1972 ไม่เพียงเป็นแค่ เครื่องมือสำคัญ ในการอนุรักษ์ และคุ้มครองทรัพย์สมบัติทางวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติของโลก ซึ่งมีคุณค่าอย่างโดดเด่น แต่ยังรับทราบกันดีว่ายังเป็นเครื่องมือที่สำคัญและจำเป็นยิ่ง ในการพัฒนา การสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศ และการหารือร่วมกัน
ซึ่งในทางตรงกันข้าม จากการรายงานอย่างกว้างขวางของสื่อมวลชน คณะกรรมการมรดกโลกไม่ได้มีการหารือเกี่ยวกับแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร หรือร้องขอ สำหรับรายงานใดๆ ที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานะของการอนุรักษ์ ยิ่งกว่านั้น คือความจำเป็นต้องให้ความชัดเจนว่า ศูนย์มรดกโลกของยูเนสโก ไม่เคยถูกผลักดันโดยคณะกรรมการให้หารือแผนบริหารจัดการ และการตัดสินใจของคณะกรรมการมรดกโลก เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารในประเทศกัมพูชา เพียงการย้ำจุดยืน ถึงความจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่า จะต้องมีการป้องกันและอนุรักษ์ ปราสาทพระวิหารจากความเสียหาย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ทั้งสองประเทศ ใช้อนุสัญญาการคุมครองปี 1972 ว่าด้วย การใช้เครื่องมือเพื่อสนับสนุน อนุรักษ์ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงก่อให้เกิดการเจรจา
แถลงการณ์ ยังระบุด้วยว่า ทางคณะกรรมการฯ ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ ภายหลังไทยประท้วงเดินออกจากที่ประชุม ข้อเรียกร้องของไทยที่ให้เลื่อนการพิจารณา ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก นอกจากนี้ นางโบโกว่า ยังกล่าวเน้นย้ำว่า มรดกโลกควรทำหน้าที่ ไม่ใช่สำหรับความขัดแย้ง แต่เป็นเครื่องมือสำหรับการเจรจาและการประนีประนอมมรดกโกล และจะยังคงมีส่วนร่วมในความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นของโลกต่อไป