วิทยารับปากหารือก.พ.บรรจุพยาบาล6000ตำแหน่ง

วิทยารับปากหารือก.พ.บรรจุพยาบาล6000ตำแหน่ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ม็อบชุดขาวกว่า 2,000 คน แห่ขอความเป็นธรรม เหตุ สธ.ไม่เหลียวแล ด้าน วิทยา ขอเวลา 1 เดือน ให้คำตอบพยาบาลเพิ่มเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย แถมสั่งทบทวนเพิ่มทั้ง 13 วิชาชีพในระบบสาธารณสุข เพื่อความเท่าเทียม พร้อมหารือ นายก เจราจา กพ. และ กพร.บรรจุพยาบาล 6,000 ตำแหน่ง และสร้างความก้าวหน้าวิชาชีพให้ เผย เข้าใจความชอกซ้ำ เหตุเมียเป็นพยาบาล อยู่ซี 7 นาน 12 ปี

// //

ที่กระทรวงสาธารณสุข - เมื่อเวลา 9.00 น. ตัวแทนพยาบาลโรงพยาบาลชุมชนกว่า 2,000 คนจากโรงพยาบาลชุมชน 724 แห่งทั่วประเทศ เดินทางมายังกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ขอให้แก้ไขปัญหาเร่งด่วนของพยาบาลชุมชน 3 เรื่อง คือ 1. ให้มีการบรรจุพยาบาลเป็นข้าราชการ จำนวน 6,000 ตำแหน่ง 2.สร้างความก้าวหน้าในสายอาชีพ โดยให้พยาบาลสามารถขึ้นในระดับแหน่งชำนาญการได้ ซึ่งปัจจุบันถูกจำกัดแค่ระดับซี 7 และ 3. เพิ่มค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย เช่นกับ แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร ที่กระทรวงได้อนุมัติปรับขึ้นก่อนหน้านี้เพื่อเป็นธรรม พร้อมชูป้ายดำเขียนข้อความว่า หมอได้ 4 หมื่นบาท เภสัชได้ 5 พันบาท พยาบาล..... บาท ความเป็นธรรมอยู่ไหน

โดยนางกรรณิการ์ ปัญญาอมรวัฒน์ ที่ปรึกษาชมรมหัวหน้าพยาบาลโรงพยาบาลชุมชน กล่าวว่า การที่พวกเรามาในวันนี้ เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยเฉพาะกรณีการเพิ่มเบี้ยเหมาจ่ายให้กับแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร ในโรงพยาบาลชุมชน ทั้งที่พยาบาลก็มีภาระหนักในการดูแลและรักษาผู้ป่วยเช่นเดียวกัน ทำให้พยาบาลทุกคนรู้สึกว่า พวกเราไม่ได้รับการดูแล ถูกทอดทิ้ง จนเป็นช่องว่างห่างจากวิชาชีพอื่นๆ ในสาธารณสุข ซึ่งอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงที่กระทรวงอนุมัติใหม่ เมื่อปลายปี 2551 ที่ผ่านมา ทำให้แตกต่างกันกับของพยาบาลถึง 10 เท่า

ตอนนี้ค่าตอบแทนของพยาบาลชุมชนต่ำมาก ขณะที่หมอได้ค่าอยู่เวรถึง 1,650 บาท ขยับจากเดิมที่ได้เพียง 800 บาท แต่ของพยาบาลยังอยู่แค่ 200 บาททั้งคืน นอกจากนี้พยาบาลที่อยู่ในพื้นที่ปกติยังไม่มีค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย ต่างจากแพทย์ จะได้เฉพาะพยาบาลที่ทำงานอยู่ในพื้นทุรกันดารเท่านั้น ดังนั้นจึงขอความเป็นธรรมให้กับพยาบาลและสายวิชาชีพอื่นๆ ทั้งระบบสาธารณสุขเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน นางกรรณิการ์ กล่าว และว่า อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่ได้ยื่นหนังสือแล้ว จะให้เวลา รมว.สาธารณสุข และกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการระยะหนึ่ง หากไม่ได้ตามที่เสนอจะกลับมายังกระทรวงสาธารณสุขอีกครั้งเพื่อเรียกร้อง

นางกรรณิการ์ กล่าวว่า สำหรับอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายนั้น ทางกลุ่มพยาบาลโรงพยาบาลชุมชน ได้เสนออัตราการเพิ่มค่าตอบแทนเพื่อให้ กระทรวงพิจารณา โดยในส่วนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายหากเป็นระดับพื้นที่ปกติ เริ่มต้นช่วงการทำงานตั้งแต่ปีที่ 1-3 อยู่ที่ 2,000 บาทต่อเดือน ปีที่ 4-10 อยู่ที่ 4,000 บาทต่อเดือน ปีที่ 11-20 อยู่ที่ 4,000 บาทต่อเดือน และตั้งแต่ปีที่ 21 ขึ้นไปอยู่ที่ 5,000 บาทต่อเดือน และจะมีเบี้ยเลี้ยงเพิ่มเติมให้ ถ้าทำงานในพื้นที่ทุรกันดารที่แบ่งเป็น ระดับ 1 และ 2 โดยจะต้องใช้งบประมาณกว่าร้อยล้านต่อปี ทั้งนี้เพื่อดึงให้พยาบาลทำงานในโรงพยาบาลชุมชนมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า พยาบาลมีระยะเวลาการทำงานในโรงพยาบาลชุมชนไม่นาน ส่วนใหญ่จะลาออกไปจากปัญหาข้างต้น ก่อให้เกิดปัญหาขาดแคลนพยาบาลอย่างที่เห็นอยู่

ด้านนายวิทยา กล่าวว่า ภายหลังจากที่ได้รับข้อร้องเรียน ได้หารือกับผู้บริหารระดับกระทรวงสาธารณสุข และตัวแทนพยาบาลโรงพยาบาลชุม ซึ่งเห็นว่าต้นเหตุปัญหาของพยาบาลได้ถูกสะสมมานานจนก่อให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจที่รุนแรง จึงต้องออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้อง ซึ่งในส่วน 2 ข้อเรียกแรก ตนไม่สามารถพิจารณาแก้ไขเองได้ เพราะถูกกำหนดโดยกรอบของ กพ. ดังนั้นจะนำปัญหานี้หารือกับนายกรัฐมนตรีโดยชี้แจงให้เห็นถึงความจำเป็น จากนั้นจะไปเจรจากับ กพ. กพร. เพื่อให้มีการบรรจุพยาบาล 6,000 ตำแหน่งตามเรียกเรียกร้อง เช่นเดียวกับความก้าวหน้าในสายวิชาชีพพยาบาล เรื่องตนเข้าใจดีถึงความชอกช้ำ ที่ไม่สามารถก้าวหน้าอย่างสายวิชาชีพได้ เพราะภรรยาตนเป็นพยาบาล อยู่ระดับซี 7 มาถึง 12 ปีแล้ว ยังไม่ได้เลื่อนตำแหน่งขยับไปไหน ดังนั้นจึงขอรับไปดำเนินการให้

นายวิทยา กล่าวต่อว่า สำหรับการเพิ่มค่าตอบแทนนั้น จากการหารือเห็นว่า เกิดจากความรู้สึกที่ไม่เท่าเทียม ภายหลังจากกระทรวงสาธารณสุขได้เพิ่มค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้กับแพทย์โรงพยาบาลชุมชน ทันตแพทย์ และเภสัช ซึ่งเรื่องนี้จะต้องทบทวนใหม่ทั้งหมด ไม่เพียงแต่เฉพาะพยาบาลเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาครอบคลุมทั้ง 13 วิชาชีพในระบบสาธารณสุขทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความแตกแยกภายในองค์กร โดยตนได้สั่งการให้ นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ไปดำเนินการโดยเวลา 1 เดือนหลังจากนี้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสามัคคีในการทำงานขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในท้ายที่สุด

ผมในฐานะนักการเมือง มาเป็นรัฐมนตรี จะอยู่กี่วัน กี่เดือนไม่รู้ แต่มาแล้วเดี๋ยวก็คงต้องไป แต่คนที่อยู่ตลอดคือคนที่ปฏิบัติภารกิจภายในกระทรวง ดังนั้นภารกิจผมต้องดูแลเรื่องปากท้อง เพื่อให้คนที่นี่อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี สมฐานะ จะรับใช้ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ผมไม่อยากให้คนในองค์กรทะเลาะกัน ไม่อยากให้คิดว่า คนอื่นได้ แต่เราไม่ได้ ฉะนั้นคนอื่นจะต้องไม่ได้ด้วย ไม่ใช่ แต่ขอให้ใจเย็น และเดินไปด้วยกัน ผมไม่อยากเห็นความขัดแย้ง แต่จะประคับประคองและผลักดันทุกอย่างให้ด้วยกันได้ รมว.สาธารณสุข กล่าว และว่า ส่วนขอเสนอการแยกกระทรวงสาธารณสุขเป็นอิสระเช่นเดียวกับกระทรวงยุติธรรม โดยการบริหารออกจาก กพ. นั้น เรื่องนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ ขอฟังข้อมูลให้รอบด้าน ทั้งจาก สส.ในสภา และกรรมาธิการสาธารณสุขก่อน ยอมรับว่า หากมีการแยกข้าราชการออกจาก กพ. จริง อาจทำให้ กพ.ล้มได้ เพราะว่า กว่าครึ่งของข้าราชการ กพ. สังกัดกระทรวงสาธารณสุข

ด้าน นพ.ปราชญ์ กล่าวว่า ในช่วงที่มีการประกาศเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดนั้น ทาง กพ.เคยบอกว่า จะนำตำแหน่งที่คนเกษียณออกไปมาคืนให้กระทรวงสาธารณสุข แต่จนป่านนี้ก็ไม่เอาตำแหน่งมาคืน แถมยังนำโค้วต้าข้าราชการไปให้กับกระทรวงอื่นหมด จนทำให้โรงพยาบาลเกิดปัญหาอย่างมา เช่น โรงพยาบาลกาญจนบุรี ไม่มีระดับซี 3 และซี 4 มานานแล้ว เพราะไม่มีตำแหน่งข้าราชการบรรจุให้ ทำให้สาขาอาชีพด้านสาธารณสุขไม่เติบโต ขณะที่แต่ละปีเรามีเด็กเกิดใหม่ปีละ 800,000 คน แต่กลับไม่มีพยาบาลดูแล ขณะนี้มีลูกจ้างประจำในกระทรวงสาธารณสุขที่รอการบรรจุถึง 10,389 คน ในจำนวนนี้เป็นพยาบาลถึง 6,000 คน ดังนั้นอยากให้ กพ. และ กพร. เห็นใจและบรรจุตามที่กระทรวงเสนอ ก่อนที่ปัญหาขยายไปมากกว่านี้

ขณะที่ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาการเพิ่มค่าตอบแทนในบุคลากรในสาธารณสุขทั้งระบบ โดยได้ข้อสรุป คือ ค่าโอทีนอกเวลาจะเพิ่ม 20% ในทุกสายอาชีพเท่ากันหมด ส่วนค่าอยู่เวรนั้นจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะเพิ่มทั้งโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน โดยจะเสนอให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขลงนามภายใน 1 สัปดาห์ เป็นเป็นเกณฑ์กำหนดใช้ เชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง

เสียงเล็กๆ นวันเด็กขอนายกฯช่วยคนไทยรักกัน

วันเด็กแห่งชาติปีนี้...ผู้ปกครองต่างพาบุตรหลานไปเที่ยวชมตามสถานที่ต่างๆ ที่เปิดเป็นพื้นที่ต้อนรับเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะ ทำเนียบรัฐบาล ที่เคยโอ่อ่ากว้างใหญ่ กลับแคบลงไปถนัดตา

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook