ยุคมืด..."หงส์แดง" กับ "ปีศาจแดง" มีอะไรเหมือนกัน!

ยุคมืด..."หงส์แดง" กับ "ปีศาจแดง" มีอะไรเหมือนกัน!

ยุคมืด..."หงส์แดง" กับ "ปีศาจแดง" มีอะไรเหมือนกัน!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ก่อนอื่นเลยต้องขออภัยไว้ ณ ตรงนี้ด้วยนะครับ เพราะบทความที่ผมจะนำมาบอกกล่าวต่อไปนี้ ไม่ได้มีเจตนาร้ายหรือแช่งทีมใดทีมหนึ่งแต่อย่างใด

แต่ที่นำมาเขียนเล่ากล่าวเนี่ยเพราะเห็นว่าโอกาสที่มันจะเป็นไปได้ก็มีอยู่เหมือนกัน ซึ่งก็คือผมจะมาไล่ลำดับ บวกกับเปรียบเทียบช่วงยุคของความสำเร็จระหว่าง 2 สโมสรที่เป็นคู่กัดกันมานมนาน นั่นก็คือ ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่คุณอาจจะสับสนเล็กน้อย เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
 
ในฤดูกาล 1987/88 ลิเวอร์พูล สามารถคว้าถ้วยแชมป์ดิวิชั่น 1 (พรีเมียร์ลีก ปัจจุบัน) มานอนกอดได้ ด้วยการทิ้งห่างอันดับ 2  แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ถึง 9 แต้ม ก่อนที่จะมาเสียแชมป์ในปีต่อมานั่นก็คือซีซั่น 1988/89

โดยเป็นการสูญเสียแชมป์ในนาทีสุดท้าย ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้นก่อนที่จะเตะเกมสุดท้ายกับ อาร์เซน่อล ทาง "หงส์แดง" รั้งอยู่จ่าฝูงที่ 76 แต้ม ลูกประตูได้เสีย +37 ทิ้งห่าง "ปืนใหญ่" 3 แต้ม แถมประตูได้เสียดีกว่า 2 ลูก

ซึ่งหมายความว่าในเกมสุดท้ายที่พบกัน หาก ลิเวอร์พูล แพ้ลูกเดียวก็ยังการันตีต่อตำแหน่งแชมป์เปี้ยน 
 
ไมเคิ่ล โธมัส แฟน "หงส์แดง" คงจำเขาได้ไม่มีวันลืม แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นซูเปอร์สตาร์ดังของทีมในยุคนั้น แต่เมื่อเขาสามารถส่งบอลเข้าตุงตาข่ายได้ในนาทีสุดท้าย ส่งผลให้ อาร์เซน่อล นำห่าง 2-0 จนจบ 90 นาทีเสียงนกหวีดจากผู้ตัดสินดังขึ้น

จึงเป็น "ปืนใหญ่" ที่ทะยานชูถ้วยแชมป์ในปีนั้น แต่จากนั้นในปีต่อมา (1989/90) ลิเวอร์พูล ก็กลับมาผงาดกลับมาสยายปีกชูถ้วยแชมป์ได้อีกครั้ง และนั่นถือเป็นแชมป์ลีกครั้งสุดท้ายที่พวกเขาซิวได้
 
หลังจากนั้นในปี 1991 ทาง "หงส์แดง" ก็มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมชาวสกอตติชคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดออกไป (คิง เคนนี่) และตั้งผู้จัดการทีมชาวสกอตติชขึ้นมาอีกคนหนึ่ง (แกรม ซูเนสส์) ต่อจากนั้นจนถึงปัจจุบัน ลิเวอร์พูล  ก็ไม่ได้สัมผัสกับถ้วยแชมป์อีกเลย
 
มาดูทางฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด กันบ้าง ในฤดูกาล 2010/11 พวกเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มาครองได้ ด้วยการทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง เชลซี อยู่ 9 คะแนน ก่อนที่จะมาเสียแชมป์ในปีต่อมานั่นก็คือซีซั่น 2011/12

โดยเป็นการสูญเสียแชมป์ในนาทีสุดท้าย ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้นก่อนเตะเกมสุดท้ายนัดชี้ชะตากับ ซันเดอร์แลนด์ พวกเขารั้งอยู่จ่าฝูงที่ 86 คะแนน นำเป็นจ่าฝูงร่วมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ลูกประตูได้เสียเป็นรองเยอะมาก โดยทางฝั่ง "เรือใบสีฟ้า" นั้นจะพบกับ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส 
 
พระเจ้าทำท่าว่าจะเข้าข้าง "ปีศาจแดง" เมื่อ เวย์น รูนี่ย์ ยิงประตูได้ในนาทีที่ 20 ทำให้ ณ เวลานั้นพวกเขาเป็นแชมป์แน่นอน หากผลสกอร์นี้ยันจนจบเกม และก็เป็นเรื่องจริงที่จบ 90 นาที สกอร์อยู่ที่ 1-0

ส่วนทางฝั่ง "เรือใบสีฟ้า" ถ้าพวกเขาชนะยังไงก็เป็นแชมป์แน่นอนด้วยความเหนือกว่าเรื่องของประตูได้เสีย แต่โอกาสของ แมนฯ ซิตี้ ในการคว้าแชมป์ดูริบหรี่ลง เมื่อเวลาผ่านไป 89 นาที พวกเขาตามหลัง "คิวพีอาร์" อยู่ 1-2
 
แต่พอเข้าสู่ช่วงทดเวลา เอดิน เชโก้ ก็ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ดูมีความหวังขึ้นมานิดหน่อย ด้วยการโขกตีเสมอ 2-2 ในนาทีที่ 91 ถ้าผลจบอย่างนี้ "ปีศาจแดง" ผงาดคว้าแชมป์แน่นอน และก็เป็นที่แน่นอนว่าแฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด ในตอนนั้นเตรียมที่จะจัดงานฉลองกันแล้ว

แต่แล้ววินาทีที่ๆ สามารถหยุดเวลาโลกได้ก็เกิดขึ้น เมื่อ เซร์คิโอ อเกวโร่ กุน ซัดเต็มข้อแบบว่าตาข่ายแทบขาดในนาทีที่ 94 ทำให้ "เรือใบสีฟ้า" พลิกกลับมาชนะ พร้อมกับทะยานชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก ในปีนั้น
 
ต่อจากนั้นในปีถัดมา (ซีซั่น 2012/13) แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาทวงแชมป์คืนได้สำเร็จ และภายหลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมชาวสกอตติชคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดออกไป (เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน)

และตั้งผู้จัดการทีมชาวสกอตติชขึ้นมาอีกคนหนึ่ง (เดวิด มอยส์) แล้วต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น....................

ถ้าไม่เข้าใจหรืองงอะไรให้ย้อนไปอ่านเรื่องของ ลิเวอร์พูล ใหม่อีกครั้ง
 
ขอย้ำ! บทความบทนี้ไม่ได้ให้ร้ายหรือแช่งให้ทีมใดต้องเข้าสู่ยุคมืดหรือก้าวสู่ยุดตกต่ำ เพียงแต่นำเรื่องเหล่านี้มาเปรียบเทียบอ้างอิงก็เท่านั้นเอง

 by HaMu

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook