มาร์คยอมรับช่วยชนชั้นกลาง หวังกระตุ้นศก. สุเทพฉุน! ลั่นจัดสรรงบแก้ปัญหาปท. รองนายกฯปัดไล่แจกเงิน

มาร์คยอมรับช่วยชนชั้นกลาง หวังกระตุ้นศก. สุเทพฉุน! ลั่นจัดสรรงบแก้ปัญหาปท. รองนายกฯปัดไล่แจกเงิน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
มาร์คยอมรับช่วยชนชั้นหวังกลางกระตุ้น ศก. กอร์ปศักดิ์โต้คำครหาไล่แจกเงิน ชี้เป็นตำราเศรษฐกิจ สุเทพลั่นจัดสรรงบแก้ปัญหาปท. ไม่ใช่ประโยชน์พรรค รบ.ปรับฐานรายได้แจก 2พัน จาก 14,000 เป็น 14,999 บาท ขยายฐานเพิ่มรวมขรก.อีกล้านคน ผุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กนง.ลดดอกเบี้ย .75% เพิ่มงบฯกลางปีอีก 4พันล้าน มาร์คยอมรับช่วยชนชั้นหวังกลางกระตุ้น ศก. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์ถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจว่า เป็นการช่วยเหลือแต่ผู้มีรายได้ประจำที่เป็นคนชั้นกลาง ว่า ยอมรับในข้อวิจารณ์ แต่เรื่องนี้เป็นมาตรการกระตุ้นในระยะสั้น และที่มีการให้เม็ดเงินในส่วนของผู้ว่างงานนั้น เป็นการแก้ปัญหาเร่งด่วน แต่เรื่องนี้อยากให้มองในภาพรวมมากกว่า เพราะทั้งหมดของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากในส่วนของการว่างงานแล้ว ยังมีโครงการอื่นอีก ที่ส่งเม็ดเงินลงไปถึงรับดับล่างอีกหลายโครงการ

กอร์ปศักดิ์โต้คำครหาไล่แจกเงิน ชี้เป็นตำราเศรษฐกิจ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ภายหลังรัฐบาลออกแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกรณีให้เงินแก่ผู้มีรายได้น้อยว่า มาตรการที่รัฐบาลออกมานั้น เป็นไปตามตำราเศรษฐกิจที่ใช้กันทั่วโลก เพื่อสร้างกำลังซื้อให้กับประชาชน เชื่อว่าจะนำไปสู่การจับจ่ายใช้สอยและเกิดการสร้างงานตามมา

ส่วนกรณีมีการนำไปเปรียบเทียบกับมาตรการที่สหรัฐฯ เคยใช้นั้น นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า เป็นการให้ข้อมูลเพียงครึ่งเดียว กรณีที่สหรัฐฯ ใช้เป็นการคืนเงินภาษี ให้กับประชาชนทุกคน ในส่วนของไทยคือให้เฉพาะคนมีรายได้น้อยและมั่นใจว่า เมื่อคนเหล่านี้ได้เงินช่วยเหลือไปแล้วจะนำเงินมาจับจ่ายใช้สอย

ยอมรับว่า มาตรการที่ออกมาไม่ใช่มาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน แต่เป็นการพยุงเศรษฐกิจ เพราะแต่ละมาตรการไม่สามารถตอบโจทย์ได้ทุกเรื่อง ต้องมีหลายมาตรการ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องระยะเวลา รองนายกรัฐมนตรี กล่าวและว่า การดำเนินมาตรการจะไม่เกิดปัญหางบประมาณรั่วไหล

นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวด้วยว่า การดำเนินการจะไม่ล่าช้า รัฐบาลจะเสนอกฎหมายเข้าที่ประชุมสภาฯ วันที่ 28 ม.ค. เชื่อว่าขั้นตอนทุกอย่างจะเรียบร้อยก่อน 1 เม.ย. เพราะเป็นกฎหมายที่มีอยู่ไม่กี่มาตรา

สุเทพลั่นจัดสรรงบแก้ปัญหาปท. ไม่ใช่ประโยชน์พรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 มกราคม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี แสดงความไม่พอใจ เมื่อถูกถามผู้สื่อข่าวถามถึงงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่จัดสรรให้กระทรวง ที่พรรคร่วมรัฐบาลกำกับดูแลน้อยกว่ากระทรวงที่พรรคประชาธิปัตย์กำกับดูแล

นายสุเทพ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้จัดสรรงบประมาณ เพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ให้พรรคร่วมเพื่อใช้พัฒนาพรรคการเมือง แต่เป็นการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้นำไปแก้ปัญหาของบ้านเมือง ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลทำก็เพื่อต้องการให้ประเทศชาติอยู่รอด ไม่ใช้ให้พรรคร่วมหรือรัฐบาลอยู่รอด อย่างไรก็ตาม หากพรรคร่วมข้องใจก็ให้มาสอบถามจากตนได้ อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นชนวนให้เกิดแรงกระเพื่อม ที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ไม่รู้สึกหวั่นไหวภายหลังกลุ่มเพื่อนเนวินประกาศรวมกับพรรคภูมิใจไทย ที่อาจนำไปสู่การต่อรองตำแหน่งรวมถึงการปรับคณะรัฐมนตรีตามมา

กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบาย0.75%

ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เมื่อวันที่ 14 มกราคม มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.75% จาก 2.75% เหลือ 2.00% เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยน.ส.ดวงมณี วงศ์ประทีป ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ขณะนี้เศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัวมากและแรงกว่าที่คาด การใช้นโยบายต่างๆ ต้องช่วยกันทุกด้าน โดยนโยบายการคลังน่าจะเป็นตัวหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเงินเข้าถึงมือประชาชนได้โดยตรง ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้ว ขณะที่มาตรการการเงินเป็นตัวเสริม เพื่อให้ต้นทุนทางการเงินลดลง โดยจะทำให้การส่งผ่านนโยบายการคลังมีประสิทธิภาพขึ้น

น.ส.ดวงมณี กล่าวถึงแนวโน้มการขยายตัวเศรษฐกิจว่า ขณะนี้มีสัญญาณว่าอัตราการขยายตัวจะลดลงต่ำกว่าการประมาณการครั้งล่าสุดที่ 0.5-2.5% จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวรุนแรง และกระทบต่อการส่งออก แต่การมีนโยบายการคลังที่ชัดเจน จากการตั้งงบประมาณกลางปีที่ 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งได้รวมส่วนของงบประมาณที่ชดเชยการขาดดุลการคลังทั้งหมดไว้ 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง 1.1 แสนล้านบาท และน่าจะเบิกจ่ายได้ 100% ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2552 ยังอยู่ที่ 94% น่าจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจได้ในไตรมาส 2 ปีนี้ และแม้ว่า ไตรมาส 4 ปี 2551 จะติดลบ แต่โอกาสที่จะพลิกฟื้นในไตรมาสแรกปีนี้มีสูง ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสที่จะเห็นเศรษฐกิจปี 2552 ติดลบ โดยรายละเอียดจะชี้แจงในวันที่ 23 มกราคม

นักเศรษฐศาสตร์ชี้กลางปีอาจเหลือ1%

สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ น.ส.ดวงมณี กล่าวว่า ยังอยู่ในกรอบการประมาณการของ กนง.คือ 0-3.5% ต่อปี ขณะที่เงินเฟ้อทั่วไปจะต่ำกว่าเงินเฟ้อพื้นฐาน แต่จะไม่เกิดภาวะเงินฝืดทางเทคนิคที่มาจากเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องกัน ดังนั้นนโยบายการเงินจึงสามารถผ่อนคลายต่อเนื่องได้ เพื่อช่วยเศรษฐกิจในหลายๆทาง เพราะหากต้นทุนเงินถูกลง จะกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยได้ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์เองจะสามารถปรับลดอกเบี้ยลงได้ แต่ต้องใช้เวลาในการปรับตัว

ขณะนี้เรามีดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2% ยังสามารถดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายได้ต่อเนื่อง หากเห็นว่ามีความจำเป็น เพราะดอกเบี้ยนโยบายของไทยเคยลงไปต่ำสุดที่ 1.25% เมื่อปี 2546 แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลังจะมีผลโดยตรงมากกว่า ขณะที่นโยบายการเงินต้องผ่านกลไกในการส่งผ่าน คือธนาคารพาณิชย์ ซึ่งต้องใช้เวลาในการพิจารณาว่าจะลดดอกเบี้ยหรือไม่ ซึ่งปกติจะใช้เวลา 2-6 ไตรมาส แต่ขณะนี้น่าจะเร็วขึ้น เพราะปัจจัยต่างๆ เกิดขึ้นเร็วมากน.ส.ดวงมณีกล่าว

น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดไทย กล่าวว่า ถือว่าเป็นไปตามความคาดหมายที่ กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมา 0.75 % เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ควรใช้นโยบายการเงินเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจ และคาดว่า กนง.จะทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในการประชุมครั้งต่อไป ส่งผลให้อัตรอกเบี้ยนโยบายในช่วงกลางปีนี้อาจเหลือ 1%

กรณ์จี้รัฐ-รสก.ใช้งบฯ8แสนล.

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ วันที่ 14 มกราคม กระทรวงการคลังได้เสนอให้เร่งรัดการใช้งบลงทุนของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และบริษัทลูกรัฐวิสาหกิจ ที่มีวงเงินค้างอยู่ประมาณ 5 แสนล้านบาท รวมถึงเร่งรัดการใช้งบลงทุนของหน่วยงานรัฐในปี 2552 ที่มีอยู่ 3 แสนล้านบาท ให้เกิดการลงทุนได้ตามแผนงานที่เสนอไว้จริง เพื่อให้หน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจเป็นตัวนำในการกระตุ้นและฟื้นฟูความเชื่อมั่นในภาคการบริโภคและการลงทุนของประชาชนและนักลงทุน

เมื่อรวมกับมาตรการของรัฐบาลที่ออกมาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยใช้งบกลางปีประมาณแสนล้านบาท น่าจะช่วยชดเชยการจับจ่ายใช้สอยในภาคเอกชนที่ลดลงได้ และน่าจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อการแข่งขันและระบบเศรษฐกิจมากกว่า นายกรณ์ กล่าว และว่า มีความเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2552 จะขยายตัวมากกว่า 2% หรือน้อยกว่า 2% ก็ได้ เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับสูตรในการคำนวณ และรอบการหมุนของเม็ดเงิน

ยังไม่เหมาะปรับลดอัตราภาษี

นายกรณ์ กล่าวถึงการใช้มาตรการด้านภาษีว่า จะสรุปเรื่องและนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม ครม. ในสัปดาห์หน้า ซึ่งได้หารือร่วมกับนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลังแล้ว เห็นว่ามาตรการภาษีเป็นเรื่องที่มีรายละเอียดมาก ดังนั้นควรจะเสนอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี รับทราบก่อนนำเข้า ครม.

ผมเห็นว่าภาษีในบ้านเรายังสูงเกินไป ในระยะยาวควรจะต้องปรับปรุงและแก้ไข เพื่อจะได้สามารถดึงการลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาได้มากขึ้น เพียงแต่ขณะนี้ยังไม่เห็นจังหวะที่เหมาะสมในการปรับลดอัตราภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าว

เพิ่มงบฯกลางปีอีก4พันล้านบาท

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ กล่าวถึงการให้เงินช่วยเหลือประชาชนคนละ 2,000 บาท ว่าต้องเลือกคนที่อยู่ข่ายที่ฐานะไม่ดี และต้องการเงินช่วยเหลือจริงๆ โดยใช้ฐานข้อมูลของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ซึ่งมีอยู่ 9 ล้านกว่าชื่อ แต่ต้องเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้ไม่เกิน 14,999 บาทต่อเดือน ซึ่งจะมี จำนวน 8.1 ล้านคนเศษ ในส่วนของข้าราชการที่เข้าหลักเกณฑ์ซึ่งมีจำนวน 1 ล้านคนเศษ จะถูกนำเข้ามาร่วมไว้ด้วย ในจำนวนข้าราชการกลุ่มนี้จะมีข้าราชการบำนาญรวมอยู่ด้วย จำนวน 2 แสนคนเศษ ซึ่งในส่วนของตัวเลขและรายละเอียดอาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้ในภายหลัง จนกว่าจะมีการนำเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ในวันที่ 20 มกราคมนี้

ยืนยันว่า การจ่ายเงินช่วยเหลือจำนวน 2,000 บาท เป็นการจ่ายให้หนเดียวเท่านั้น จ่ายในรูปแบบการส่งเช็คเงินสดไปให้ตามที่อยู่ของบุคคลที่จะได้รับเงิน ภายหลังจากที่สภาเห็นชอบการจัดสรรงบประมาณแสนล้านบาทนี้แล้วนายกอร์ปศักดิ์ กล่าว และว่า ล่าสุดได้ปรับงบประมาณกลางปี 2552 เพิ่มขึ้นในส่วนของเงินสำรอง เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่กันไว้สำหรับการใช้จ่ายเงินอื่นๆ ที่จำเป็น จากตัวเลข 2,391 ล้านบาท เป็น 4,091.49 ล้านบาท จึงทำให้ยอดงบประมาณกลางปีเพิ่มขึ้นจาก 115,000 แสนล้านบาท เป็น 116,700 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ตัวเลขงบประมาณ ก็อาจมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมได้อีก โดยเฉพาะในขั้นตอนการพิจารณาของสภา

ขาดเงินแก้ปัญหาว่างงงาน

ด้านนายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า เดิมรัฐบาลจะให้เงิน 2,000 บาท กับผู้ที่มีรายได้ ไม่เกิน 14,000 บาท แต่เพื่อให้การช่วยเหลือครอบคลุมผู้ประกันตน จึงได้มีการ ปรับฐานตัวเลขรายได้ที่ 14,999 บาท ทั้งนี้ผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือมีจำนวน 8,138,815 คน โดย สปส.จะเป็นผู้รับผิดชอบประสานกับกรมบัญชีกลาง เพื่อโอนเงินเข้าเลขที่บัญชีให้กับผู้ประกันตนตั้งแต่เดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป

สำหรับเงินแก้ปัญหาการว่างงาน 5,224 ล้านบาท ได้รับแจ้งจากสำนักงบประมาณว่า ขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีงบประมาณเพียงพอ จึงได้ให้กระทรวงแรงงานเกลี่ยงบประมาณโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน จำนวน 6,900 ล้านบาท ไปปรับใช้และฝึกอาชีพให้กับผู้ว่างงาน จำนวน 5 แสนคน นอกจากนี้รัฐบาลยังอนุมัติงบกลาง 120 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการเร่งด่วนนายไพฑูรย์ กล่าว และว่า ส่วนมาตรการช่วยเหลือแรงงานนอกระบบ 23 ล้านคน กระทรวงแรงงานจะนำที่ประชุม ครม.ครั้งต่อไป

คุณหญิงขอ435ล.กระตุ้นเศรษฐกิจ

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวภายหลังประชุมคณะทำงานรัฐมนตรีวาระเร่งด่วน ว่า ที่ประชุมมีมติเตรียมเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน จำนวน 435 ล้านบาท โดยจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ในสัปดาห์หน้า ประกอบด้วย 1.โครงการการอบรมการบริหารจัดการระบบสารสนเทศและการให้บริการสารสนเทศ (ไอทีรีเทรนนิ่ง) 315 ล้านบาท โดยให้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ดำเนินการพัฒนาบุคคลากรให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยเฉพาะบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ให้กับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จำนวน 15,000 คน ระยะเวลาดำเนินการ 9 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน - ธันวาคม 2552 และ 2.โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า จัดตั้งโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ 120 โรง 120 ล้านบาท แบ่งเป็นภาคเหนือ 40 โรง ภาคกลาง 40 โรง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 โรง ภาคใต้ และภาคอื่นๆ อีก 20 โรง คาดว่าหากรัฐบาลอนุมัติจะแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน

6มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เศรษฐกิจ ว่าที่ประชุมยังเห็นชอบมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ประกอบด้วย 1.ยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกวีซ่า ในช่วงระยะเวลา 3 เดือน โดยให้กระทรวงการคลังไปพิจารณาจัดสรรงบประมาณชดเชย 2.ให้นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไปพิจารณาการออกมาตรการด้านดอกเบี้ยและภาษีที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจท่องเที่ยว 3.ให้ส่วนราชการโยกงบฯสัมมนาในต่างประเทศให้กลับมาจัดในประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 4.ให้สำนักงานคณะกรรมการพัมนาการเศรกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)สรุปรายละเอียดการยกเว้นค่าธรรมเนียมต่างๆ ในสนามบินเสนอเข้ามาเพิ่มเติม 5.ให้กระทรวงคมนาคมไปพิจารณามาตรการที่เหมาะสมในการป้องกันการปิดสนามบิน 6.ให้กระทรวงท่องเที่ยวและกระทรวงคมนาคมขอความร่วมมือสายการบิน เพื่อลดหย่อนค่าโดยสาร เพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น ทั้งนี้ มาตรการทั้งหมดให้นำกลับมาเสนอต่อที่ประชุม ครม.วันที่ 20 มกราคม นี้

ชาติไทยฯไม่ติดใจได้รับน้อย

พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงการจัดสรรงบประมาณกลางปี 1.15 แสนล้านบาท และกระทรวงที่อยู่ในความดูแลของพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับจัดสรรถึงร้อยละ 60 ว่า พรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้ติดใจอะไร แต่ยอมรับว่ามีรัฐมนตรีบางคนได้สอบถามว่า เหตุใดจึงได้งบน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา

นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า การให้งบฯ เพียง 500 ล้านบาท สำหรับการเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นและกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวถือว่าไม่เหมาะสม รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว เพราะถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แม้ว่าการไม่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวจะไม่ได้กระทบกับร่วมงานกับรัฐบาล แต่ก็ควรให้ความสำคัญของประโยชน์ประเทศชาติ

นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า การได้รับงบประมาณน้อยไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล เพราะเข้าใจกันดี ผมของบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการจราจรทางน้ำ แต่ไม่ได้รับซักบาท ก็ไม่ได้รู้สึกน้อยใจอะไร เพราะเรายอมกันด้วยเหตุและผล ไม่มีใครได้ใครเสีย แต่คิดว่าประชาชนได้ประโยชน์ก็พอใจแล้ว

เชื่อจีดีพีไตรมาส2ไม่ติดลบ

นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัมนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า เชื่อว่าหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมา ทั้งในส่วนของการจ่ายเงินช่วยค่าครองชีพ รายละ 2,000 บาท รวมถึงเบี้ยผู้สูงอายุ และค่าจ้างอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน( อสม.) และเงินลงทุนต่างๆ สามารถเบิกจ่ายได้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน น่าจะทำให้ตัวเลขจีดีพีไตรมาสที่ 2 ไม่ติดลบ และกลับมาอยู่ในแดนบวกได้ เนื่องจากงบฯกลางปี 2552 จะทำให้ให้เกิดการกระตุ้นจีดีพีโดยตรง จำนวน 1.2% และจะเกิดการหมุนเวียนในระบบอีก 1.2-2% ดังนั้น สศช.ประเมินว่าจีดีพีในปี 2552 น่าจะอยู่ที่ 2-2.5%

นายสันติ วิลาสศักดานนนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในเบื้องต้น มีความพอใจกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่เน้นช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและผู้ว่างงาน ซึ่งรัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินมาตรการโดยเร็วพร้อมกันทั่วประเทศ และเมื่อดำเนินไปแล้ว 3-6 เดือน ต้องประเมินว่า เพียงพอหรือไม่ หากไม่เพียงพอก็สามารถจะพิจารณาเพิ่มงบประมาณได้อีก

ฉบับที่ 1 /2552 เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน วันที่ 14 มกราคม 2552 นางสาวดวงมณี วงศ์ประทีป ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย แถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ( กนง .) ในวันนี้ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มในระยะต่อไป เพื่อกำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้ วิกฤตการณ์ทางการเงินโลกส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมชะลอตัวรุนแรงและกระทบต่อการส่งออกของประเทศในภูมิภาคอย่างชัดเจน รวมถึงการส่งออกของไทยที่เริ่มหดตัว นอกจากนี้ อุปสงค์ภาคเอกชนยังอยู่ในแนวโน้มชะลอตัวทั้งการบริโภคและการลงทุน ส่วนหนึ่งจากความเชื่อมั่นที่เปราะบาง อย่างไรก็ดี ภาวะการเมืองในประเทศที่มีเสถียรภาพมากขึ้นน่าจะเอื้อให้ภาครัฐสามารถดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะต่อไป อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องอันเป็นผลจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงมากในภาวะที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศอ่อนแอลง คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระหว่างที่ความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจมีมากจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ และแรงกระตุ้นจากภาคการคลังอาจใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.75 ต่อปี จากร้อยละ 2.75 เป็นร้อยละ 2.00 ต่อปี โดยมีผลทันที ธนาคารแห่งประเทศไทย 14 มกราคม 2552 ----------------------------------------------

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook