เผยข้าราชการตกเป็นเหยื่อเอดส์กว่า 10,000 ราย ในรอบ 24 ปี

เผยข้าราชการตกเป็นเหยื่อเอดส์กว่า 10,000 ราย ในรอบ 24 ปี

เผยข้าราชการตกเป็นเหยื่อเอดส์กว่า 10,000 ราย ในรอบ 24 ปี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
กระทรวงสาธารณสุขเผยสถานการณ์โรคเอดส์ของไทยในรอบ 24 ปี มีผู้ป่วยโรคเอดส์สะสม 337,989 ราย จำนวนนี้เป็นข้าราชการ 10,278 ราย ส่วนใหญ่อายุ 30-44 ปี อยู่ใน กทม. เชียงใหม่ มากสุด สาเหตุหลักติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคเอดส์ของไทย ว่า ตั้งแต่ พ.ศ.2527 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2551 รวม 24 ปี สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คาดว่ามีผู้ติดเชื้อประมาณ 1,200,000 คน มีผู้ป่วยโรคเอดส์สะสมทั้งหมด 337,989 ราย เป็นชายมากกว่าหญิงในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 เสียชีวิตแล้ว 92,111 ราย หรือประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ป่วยทั้งหมด นพ.สุพรรณ กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคเอดส์มีทุกกลุ่มอาชีพ โดยเฉพาะข้าราชการ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีการศึกษา มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมค่อนข้างสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ จากการวิเคราะห์พบว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2527 เป็นต้นมาจนถึง 30 กันยายน 2551 มีข้าราชการป่วยจากโรคเอดส์สะสมทั้งหมด 10,278 ราย คิดเป็นร้อยละ 3 ของผู้ป่วยโรคเอดส์ทั้งหมดเป็นชาย 9,043 ราย หญิง 1,235 ราย เพศชายป่วยสูงกว่าเพศหญิงในอัตราส่วน 7 ต่อ 1 เสียชีวิตไปแล้ว 2,448 ราย โดยผู้ป่วย 1 ใน 3 เป็นกลุ่มข้าราชการพลเรือนอีกประมาณ 1 ใน 10 เป็นทหาร ตำรวจ สาเหตุใหญ่ของการติดเชื้อเอดส์ เกือบร้อยละ 90 เกิดมาจากการมีเพศสัมพันธ์ไม่ปลอดภัย นพ.สุพรรณ กล่าวอีกว่า ข้าราชการที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ร้อยละ 63.8 อายุระหว่าง 30-44 ปี มากที่สุดคืออายุ 30-34 ปี พบร้อยละ 24 ผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ 61 แต่งงานแล้ว โดยกระทรวงสาธารณสุขได้รับรายงานผู้ป่วยเอดส์ที่เป็นข้าราชการรายแรกเมื่อ พ.ศ. 2530 มีรายงานป่วยสูงสุด 940 ราย ในปี 2539 หลังจากนั้นเริ่มลดลงอย่างช้าๆ ในปี 2551 นี้ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน มีรายงานผู้ป่วย 303 ราย จังหวัดที่มีข้าราชการป่วยเป็นโรคเอดส์สะสมสูงสุดคือ กรุงเทพมหานคร 1,622 ราย ส่วนต่างจังหวัดพบมากที่สุด 5 จังหวัดแรกคือ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา นนทบุรี และชลบุรี โดยโรคฉวยโอกาสที่มักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเอดส์ที่พบมากที่สุดทุกกลุ่มคือ วัณโรคปอด พบ 1 ใน 5 ของผู้ป่วย กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งป้องกันโดยในปี 2552 นี้ จะเน้นการตรวจหาเชื้อวัณโรคและรักษาควบคู่กับยาต้านไวรัสเอดส์ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยโรคเอดส์มีสุขภาพแข็งแรง สามารถทำงานได้เหมือนคนปกติทั่วไป พญ.พัชรา ศิริวงศ์รังสรร ผู้อำนวยการสำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กล่าวว่า สำนักโรคเอดส์ฯ ได้เฝ้าระวังสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีในประชาชนกลุ่มต่างๆ ทุกปี เพื่อประเมินผลการรณรงค์ป้องกัน โดยผลการเฝ้าระวังในปี 2550 ใน 8 กลุ่ม ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ ปรากฏผลดังนี้ 1.กลุ่มหญิงขายบริการทางเพศ พบหญิงขายบริการทางเพศตรง ติดเชื้อร้อยละ 5.57 จังหวัดที่มีความชุกติดเชื้อสูงสุดได้แก่ ลำปางร้อยละ 28.75 รองลงมาคือ สุโขทัยร้อยละ 24 และสมุทรสงครามร้อยละ 18.32 ส่วนกลุ่มหญิงขายบริการทางเพศแอบแฝง ติดเชื้อร้อยละ 3.35 พบสูงสุดที่จังหวัดชุมพรร้อยละ 25.71 รองลงมาคือ ปัตตานีร้อยละ 21.95 2. กลุ่มชายที่มาตรวจกามโรค มีความชุกติดเชื้อร้อยละ 4.55 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เคยพบร้อยละ 3 ในช่วงปี 2544 เป็นต้นมา กลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไป มีอัตราติดเชื้อค่อนข้างสูงร้อยละ 5.46 3.กลุ่มโลหิตบริจาคพบร้อยละ 0.21 4.กลุ่มหญิงฝากครรภ์ พบอัตราการติดเชื้อร้อยละ 0.76 5.กลุ่มชาวประมง มีอัตราติดเชื้อร้อยละ 1.25 6.กลุ่มแรงงานต่างชาติมีอัตราติดเชื้อร้อยละ 0.84 และ 7.กลุ่มชายขายบริการทางเพศ พบอันตราติดเชื้อร้อยละ 9.89 โดยกลุ่มที่มีอัตราการติดเชื้อสูงขึ้นในกลุ่มนี้คือ อายุน้อยกว่า 20 ปี พบร้อยละ 9 และ 8.กลุ่มฉีดยาเสพติดเข้าเส้น มีอัตราติดเชื้อร้อยละ 25.62 จากการประเมินพบว่ากลุ่มที่มีแนวโน้มติดเชื้อลดลงได้แก่ กลุ่มหญิงฝากครรภ์ กลุ่มโลหิตบริจาค กลุ่มชาวประมงและกลุ่มแรงงานต่างชาติ แต่กลุ่มที่มีแนวโน้มติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้แก่ กลุ่มหญิงขายบริการทางเพศตรงและแฝง กลุ่มชายที่มาตรวจกามโรคและกลุ่มชายขายบริการทางเพศ โดยกลุ่มชายที่มาตรวจกามโรค เป็นกลุ่มสำคัญในการนำเชื้อเอชไอวีจากหญิงขายบริการทางเพศมาสู่กลุ่มหญิงทั่วไปได้ จึงต้องเน้นการสร้างพฤติกรรมการใช้ถุงยางอนามัย 100% โดยในปีงบประมาณ 2552 กรมควบคุมโรคได้จัดซื้อถุงยางอนามัยจำนวน 20 ล้านชิ้น บริการกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ เพื่อใช่ในการป้องกัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook