ป.ป.ช.เอกฉัน์ท์โฆสิตหลุดคดีผาแดงอ้างทำตามขั้นตอน-ยังไม่ได้สอบปมหวนคืนเก้าอี้ ปธ.แบงก์กรุงเทพ

ป.ป.ช.เอกฉัน์ท์โฆสิตหลุดคดีผาแดงอ้างทำตามขั้นตอน-ยังไม่ได้สอบปมหวนคืนเก้าอี้ ปธ.แบงก์กรุงเทพ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ป.ป.ช.ลงมติเอกฉันท์ยกข้อกล่าวหาโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ช่วยต่ออายุสัมปทานพื้นที่ป่าให้บริษัทผาแดงฯ อ้างมีการกลั่นกรองมาตามขั้นตอนแล้ว เผยยังไม่ได้ไต่สวนประเด็นกลับเข้าเป็นประธานบริหารธนาคารกรุงเทพ อาจฝ่าฝืน พ.ร.บ.ป้องกันการทุจริต มาตรา 101 ห้ามดำเนินกิจการที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยขงานรัฐ ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์รายงานเมื่อวันที่ 20 มกราคมว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มีมติเอกฉันท์ให้ยกข้อกล่าวหา นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เรื่องให้ความช่วยเหลือ บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด(มหาชน) ให้ได้รับการผ่อนในการใช้พื้นที่ป่าไม้ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เพื่อทำเหมืองแร่สังกะสี ท้องที่ อแม่สอด จ.ตากเนื่องจากนายโฆสิตเคยเป็นกรรมการบริษัทผาแดงฯในฐานะเป็นตัวแทนธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทผาแดงฯ 7,301,070 หุ้นหรือ 3.23 % ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมโดยให้เหตุผลว่า การนำเสนอขอขยายสัมปทานใช้พื้นที่ป่าไม้ในการทำเหมืองแร่สังกะสีมีการพิจารณากลั่นกรองมาตามขั้นตอนแล้ว แต่ก็มีกรรมการบางรายท้วงติงว่า ทำไมในการพิจารณาวาระอื่นๆของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาตินายโฆสิตไม่เข้าร่วมประชุม แต่เข้าร่วมประชุมวาระการพิจารณาเรื่องดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเท็จจริงว่า นายโฆสิตใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบในการต่ออายุสัมปทานเหมืองแร่สังกะสีในพื้นที่ป่าไม้ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติหรือไม่ รวมทั้งมีการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 เป็นเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียรับสัมปทานหรือคงไว้ซึ่งสัมปทานจากหน่วยงานของรัฐหรือไม่ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า มีการเสนอเรื่องกล่าวและมีการกลั่นกรองผ่านอนุกรรมการมาตามขั้นตอนแล้ว

แหล่งข่าวกล่าวว่า ที่ประชุมมติมิให้เปิดเผยผลประชุมโดยให้แถลงข่าวในวันที่ 21 มกราคม 2551 เนื่องจากมีรายละเอียดที่จะต้องชี้แจงมาก

อย่างไรก็ตามที่ประชุมยังมิได้พิจารณาประเด็นว่า นายโฆสิตฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 101 ซึ่งห้ามมิให้รัฐมนตรีซึ่งพ้นจากตำแหน่งยังไม่ถึง 2 ปีเข้าดำเนินกิจการที่เป็นบริษัทคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐที่ตนเคยมีหน้าที่กำกับ ควบคุม ดูแล หรือตรวจสอบหน่วยงานของรัฐที่อยู่ในความรับผิดชอบ เพราะหลังจากที่นายโฆสิตพ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการรสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายโฆสิตกลับเข้าเป็นประธานคณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทผาแดงฯในทันที

ผุ้สื่อข่าวรายงานว่า สำรับที่ที่ฝ่าฝืนมาตรา 101 นั้นพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 122 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

อนึ่ง ผู้ที่ร้องเรียนนายโฆสิตต่อ ป.ป.ช.คือนายเรืองไกร ลิกิจวัมนะ ซึ่งหนังสือร้องเรียนลงวันที่ 10 ธันวาคม 2550 มีสาระสำคัญคือ นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ขณะดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กระทำความผิดเนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนได้เสียรับสัมปทานหรือคงไว้ซึ่งสัมปทานจากหน่วยงานของรัฐ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดและเป็นที่ปรึกษาหรือตัวแทนของบริษัท ผาแดงฯซึ่งเป็นเอกชนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ควบคุมหรือตรวจสอบของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการกร่เอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้อง อันมีลักษณะขัดแย้งกับผลประโยชน์ส่วนรวม คือ

1. บริษัท ผาแดงฯ มีธนาคารกรุงเทพ เป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 7,301,070 หุ้นโดยนายโฆษิต ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการตัวแทนของธนาคารกรุงเทพตั้งแต่ 6 เมษายน 2548 ถึงวันที่ 9 ตุลาคม 2549และได้รับค่าตอบแทนจนถึงวันที่ 9 ตุลาคม 2549 จำนวน 169,891.30 บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นเก้าพันแปดร้อยเก้าสิบเอ็ดบาทสามสิบสตางค์) พร้อมกับโบนัสกรรมการปี พ.ศ.2549 อีกจำนวน 1,178,500.00 บาท (หนึ่งล้านหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นแปดพันห้าร้อยบาท) ถือได้ว่านายโฆษิต อาจจะมีผลประโยชน์ร่วมกับบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) โดยตรง

2. นายโฆษิตได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2549 พร้อมกับดำรงตำแหน่งประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอีกด้วย จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐรวมกัน 3 ตำแหน่ง โดยตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาตินั้นมีประโยชน์โดยตรงต่อการกำกับดูแล ควบคุมและตรวจสอบเกี่ยวกับประทานบัตรเหมืองแร่สังกะสีของบริษัท ผาแดงเพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐ ซึ่งในระหว่างดำรงตำแหน่งดังกล่าว นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ได้มีพฤติกรรมดังนี้ คือ

2.1 เนื่องจากประทานบัตรเหมืองแร่สังกะสีและพื้นที่กิจกรรมเกี่ยวเนื่องของบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ใบอนุญาตเลขที่ 20781/13285, 20780/13286, 20782/13287 จะหมดอายุสัมปทานพร้อมกันในวันที่ 17 ตุลาคม 2550 บริษัท ผาแดงฯ จึงมีความต้องการขยายระยะเวลาของสัมปทานออกไปอีก โดยได้ยื่นขอประทานบัตรใหม่ตามคำขอที่ 1/2546 พร้อมใบอนุญาตอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 แต่มิได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลที่แล้วแต่อย่างใด

2.2 นายโฆษิตได้เร่งรัดดำเนินการเริ่มตั้งแต่ให้คณะกรรมการตาม พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 ให้ความเห็นชอบตามที่บริษัท ผาแดงฯต้องการในวันที่ 26 มีนาคม 2550 สาระสำคัญคือ ในขณะนั้นยังไม่มีรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร จึงเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

2.3 ต่อมาในวันที่ 17 กรกฎาคม 2550 มีการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 9/2550 ที่ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายโฆษิต เป็นประธานที่ประชุม

ในการประชุมวาระที่ 1 และวาระที่ 2 ซึ่งเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท ผาแดงฯ นายโฆษิต ไม่ได้เข้าร่วมประชุม โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองประธานกรรมการคนที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่แทนในการประชุม โดยอ้างว่าติดภารกิจสำคัญ

2.4 เมื่อถึงวาระที่ 3 เรื่องเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมือนแร่สังกะสีของบริษัท ผาแดงฯคำขอประทานบัตรที่ 1/2546 ตั้งอยู่ที่ตำบลพระธาตุผาแดง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ประธานการประชุมและควบคุมการประชุมจนสามารถทำให้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามการตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่บริษัท ผาแดงฯได้จัดทำข้อมูลมาให้จึงเป็นการสมประโยชน์ตามที่ต้องการ โดยมีการชี้นำจากนายโฆษิต

จากนั้นในวันที่ 27 สิงหาคม 2550 จึงได้ทำการส่งรายงานการประชุมไปยังอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เห็นว่า การกระทำของนายโฆษิตเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ผาแดงฯอย่างชัดเจนโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้ง 3 ตำแหน่งดังกล่าวข้างต้น ส่งเสริมสนับสนุนให้บริษัท ผาแดงฯป็นผู้ผูกขาดการทำเหมืองแร่สังกะสีแต่เพียงผู้เดียวจึงเป็นการปฏิบัติโดยมิชอบด้วยหน้าที่

3. เพื่อให้บริษัท ผาแดงฯได้รับประโยชน์สูงสุดและมากกว่าประโยชน์ของรัฐ ดังนั้นนายโฆษิต จึงอัยตำแหน่งหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมทำหนังสือถึง เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2550 เรื่องบริษัท ผาแดงฯขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ป่าไม้ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อการทำเหมืองแร่ท้องที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยนายโฆษิต ได้ทำความเห็นว่า เห็นชอบด้วยกับความเห็นของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีผ่อนผันให้บริษัท ผาแดงฯใช้พื้นที่ป่าไม้ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่สังกะสีได้

ในที่สุดบริษัท ผาแดงฯได้รับประโยชน์โดยตรงจากการดำเนินการของนายโฆษิต โดยในวันที่ 8 ตุลาคม 2550 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักวิเคราะห์เรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือถึงนายโฆษิต ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี เรื่อง บริษัทผาแดงฯขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ป่าไม้ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อทำเหมืองแร่ฯเพื่อให้นายโฆษิต พิจารณา

แต่ปรากฏว่าผู้ที่อนุมัติคือ นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรีอีกท่านหนึ่งเป็นผู้ลงนามแทนนายโฆษิต ทั้งๆที่ หนังสือดังกล่าวทำถึงนายโฆษิตแต่เพราะสาเหตุใดนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม จึงเป็นผู้ลงลายมือชื่อของตนทั้งที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2550 ซึ่งเป็นวันก่อนถึงวันหมดอายุสัมปทานในวันที่ 17 ตุลาคม 2550 เป็นการต่ออายุสัมปทานภายใต้การกำกับดูแล ควบคุมและตรวจสอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและมีการเร่งรัดการดำเนินการอย่างเร่งรีบผิดปกติทั้งที่ใช้เวลานานมากกว่านี้ ในขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นไม่มีการดำเนินการอย่างรวดเร็วเหมือนกับกรณีของบริษัท ผาแดงฯ

เมื่อพิจารณารวมกับการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเคยเป็นกรรมการและรับเงินตอบแทนจำนวนมากจากบริษัท ผาแดงฯ แล้ว อีกทั้งปรากฏว่า เมื่อมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลาออกจากตำแหน่ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า นายโฆษิต ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพราะต้องการมีตำแหน่งกรรมการในสถาบันการเงินคือ ธนาคารกรุงเทพ อีกเมื่อพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

เห็นว่านายโฆษิต มีผลประโยชน์ร่วมกับบริษัท ผาแดงฯอยู่อย่างต่อเนื่องมาตลอดในขณะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ทำให้ทางราชการได้รับความเสียหายและเป็นการแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียรับสัมปทานหรือคงไว้ซึ่งสัมปทานจากหน่วยงานของรัฐ เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100 มาตรา 122 และตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook