โอบามาสาบานตน
สำหรับพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นการแสดงของวงดุริยางค์แห่งราชนาวีสหรัฐ ตามมาด้วยการสาบานตนของรองประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดน และก็ถึงคิวของนายบารัค โอบามา ในการกล่าวคำปฏิญาณความยาว 35 คำ เพื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นแล้ว นายโอบามาก็จะกล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรก ซึ่งจะเป็นการแสดงทัศนคติของเขาที่มีต่อการดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สำนึกความรับผิดชอบและการบริหารประเทศ พร้อมกับเรียกร้องให้ชาวอเมริกันตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินด้วย
ต่อจากนั้น นายโอบามาก็จะเดินนำประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เข้าพิธีอำลาและออกจากทำเนียบขาว เสร็จแล้วนายโอบามากับครอบครัวก็จะร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับสมาชิกสภาคองเกรส ก่อนเข้าพักในทำเนียบขาว และร่วมชมขบวนพาเหรดบนถนนเพนซิลเวเนียด้านหน้าทำเนียบขาว ส่วนช่วงเวลากลางคืนก็มีงานเลี้ยงต้อนรับถึง 10 งานด้วยกัน จากนั้นในวันรุ่งขึ้น ประธานาธิบดีโอบามากับรองประธานาธิบดีไบเดนจะเข้าร่วมพิธีทางศาสนาที่มหาวิหารแห่งชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนเกือบ 2 ล้านคน ต่างหลั่งไหลเข้ามาสู่เมืองหลวงกรุงวอชิงตัน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพิธีประวัติศาสตร์ของการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของนายบารัค โอบามา แม้ต้องเผชิญกับสภาพอากาศหนาวเย็นถึงขั้นลบ 1.6 องศาเซลเซียส และลมแรงจากทิศเหนือ แต่ผู้คนก็ยังคงหลั่งไหลเข้ามาจับจองที่นั่ง 240,000 ที่ ตามตั๋วที่แจกจ่ายไปก่อนหน้านี้แบบฟรีไม่เสียสตางค์ แต่มีการนำไปจำหน่ายทางอินเทอร์เน็ตสำหรับที่นั่งในพิธีสาบานตน ในราคา 8,249ลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 288,715 บาท ด้านการรักษาความปลอดภัยนั้นใช้กำลังตำรวจของวอชิงตัน 4,000 นาย รวมกับอีก 4,000 คน จากหน่วยงานด้านการรักษากฎหมายและความมั่นคง แล้วยังมีกำลังทหารอีก 32,000 นาย เตรียมพร้อมปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบสำหรับพิธีสาบานตนครั้งนี้
คืนก่อนวันสาบานตนรับตำแหน่ง นายบารัค โอบามา ยังได้เชิญนายจอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกจากรัฐแอริโซนาจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นคู่แข่งคนสำคัญในศึกเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ปีที่แล้ว มาร่วมรับประทานอาหารค่ำตามธรรมเนียมปฏิบัติก่อนเข้ารับตำแหน่ง พร้อมกับยังกล่าวยกย่องนายจอห์น แมคเคน วัย 72 ปี ซึ่งเคยเป็นทหารผ่านศึกในสงครามเวียดนามมาก่อนด้วยว่า เป็นข้าราชการที่กล้าหาญ แม้ทั้งสองจะไม่เห็นพ้องต้องกันในทุกเรื่องในอนาคตข้างหน้านี้ แต่จะแสดงความคิดเห็นและใช้ดุลพินิจร่วมกัน
ส่วนรองประธานาธิบดีดิค เชนีย์ ซึ่งกำลังจะพ้นตำแหน่งไปพร้อมกับประธานาธิบดีบุช นั้น เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบบริเวณด้านหลัง ขณะกำลังยกกล่อง ทำให้ต้องนั่งรถเข็นมาร่วมงานในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ตามคำแถลงของทำเนียบขาว ขณะเดียวกัน ลูกเรือ 5 คนของสายการบินยูเอส แอร์เวย์ส ซึ่งสามารถร่อนลงจอดได้อย่างปลอดภัยกลางแม่น้ำฮัดสันนครนิวยอร์กเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้โดยสาร 150 คน ปลอดภัยทั้งหมดนั้น ลูกเรือทั้ง 5 คนรวมถึงกัปตันเชสลีย์ ซุลเลน เบอร์เกอร์ ซึ่งได้รับการยกย่องจากนายโอบามาด้วย ก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งด้วย
ด้านสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนใน 17 ประเทศทั่วโลกพบว่า โดยเฉลี่ย 2 ใน 3 ของ ผู้ตอบแบบสอบถามมีความเห็นตรงกันว่า นายโอบามาจะสามารถยกระดับความสัมพันธ์ระหว่าง สหรัฐอเมริกากับประเทศต่าง ๆ ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่นั้นต้องสืบทอดหน้าที่ในการเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจโลก สงครามความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศอัฟกานิสถานและอิรัก รวมทั้งสหรัฐในสายตาของชาวโลกดูต่ำกว่ามาตรฐานตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา ส่วนประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ก็ได้ทำการร่ำลามิตรสหายหรือแม้แต่ฝ่ายตรงข้ามบนเวทีการเมืองโลก ด้วยการโทรศัพท์ไปกล่าวอำลาและขอบคุณที่ได้เคยร่วมงานกันมาตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ดำรงตำแหน่ง ซึ่งก็มีทั้งตัวผู้นำคนปัจจุบันและอดีตผู้นำไม่ว่าจะเป็นของบราซิล อังกฤษ เดนมาร์ก ฝรั่งเศส จอร์เจีย เยอรมนี อิสราเอล อิตาลี ญี่ปุ่น รัสเซีย เกาหลีใต้ และ อดีตผู้นำเม็กซิโก นายวินเซนเต้ ฟอกซ์ ตามคำแถลงของโฆษกฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ
นอกจากนั้น ประธานาธิบดีบุชยังอาศัยอำนาจการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐก่อนพ้นตำแหน่งเสนอขอลดหย่อนผ่อนโทษให้กับนายโจเซ อะลองโซ คอมเปียน กับ นายอิกนาซิโอ รามอส อดีตเจ้าหน้าที่พิทักษ์ชายแดน ซึ่งกระทำผิดในข้อหายิงนายออสวัลโด อัลดรีท ดาวิลา ผู้ลักลอบค้ายาเสพติดชาวเม็กซิกันเสียชีวิต และต้องโทษจำคุก 11-12 ปี ตามคำพิพากษาเมื่อปี 2548 หลายฝ่ายวิจารณ์ว่าเป็นการลงโทษหนักเกินกว่าเหตุและเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทั้งสองทำตามหน้าที่ ดังนั้น ประธานาธิบดีบุึงสั่งให้ลดโทษจำคุกจำเลยทั้งสองให้จำคุกถึงเดือน มี.ค.นี้ แล้วให้ปล่อยตัวไป ด้านสมาชิกรัฐสภาทั้งจากพรรครีพับลิกันและเดโมแครตต่างชื่นชมการตัดสินใจครั้งนี้
สำนักราชเลขาธิการแจ้งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชสาส์นแสดงความยินดีแก่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ความว่า ฯพณฯ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในโอกาสที่ท่านเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้ามีความยินดีขอส่งคำอำนวยพรและความปรารถนาดีอย่างจริงใจมา เพื่อท่านประธานาธิบดีประสบความสำเร็จและความสุขสวัสดิ์ ทั้งเพื่อความเจริญก้าวหน้าของประชาชนและความเจริญรุ่งเรืองไพบูลย์ยิ่งขึ้นของสหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์ฉันมิตรและความร่วมมืออันใกล้ชิดระหว่างประเทศและประชาชนของเราทั้งสองจะกระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไปในภายภาคหน้า (พระปรมาภิไธย) ภูมิพลอดุลยเดช ปร.
ที่กระทรวงการต่างประเทศ วันเดียวกันนี้ นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีมีสารแสดงความยินดีแด่นายบารัค โอบามา ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ความว่า ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย ขอแสดงความยินดีและมั่นใจว่าความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งของนายโอบามาจะสามารถฟันฝ่าความท้าทายต่าง ๆ นำพาสหรัฐอเมริกาไปสู่ความสำเร็จ รวมทั้งจะนำการเปลี่ยนแปลงที่ดีมาสู่ประชาคมโลก ในฐานะที่ไทยเป็นพันธมิตรเก่าแก่ของสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ทางการทูตเข้าสู่ปีที่ 176 ก็พร้อมทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐ ทั้งนี้ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประธานสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ อาเซียน พร้อมกระชับการทำงานกับสหรัฐให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ทั้งนี้พวกเราชาวไทยหวังว่าจะ ได้ให้การต้อนรับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในโอกาสการเยือนประเทศไทยโดยเร็ว
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ภายหลังที่นายบารัค โอบามา เข้าสาบานตน เพื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และสภาคองเกรสได้ยอมรับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งมองว่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกจะไม่รุนแรงกว่าที่ประมาณการไว้ ขณะที่ไทยจะได้รับอานิสงส์จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลไทยจะประกาศออกมาเป็นชุด ๆ จึงมั่นใจว่า ปัจจัยทั้งหมดนี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวได้ถึง 2%.