ย้อนรอย 2 คดีดัง อุ้มฆ่าทนายสมชาย-สังหารชิปปิ้งหมู พัวพัวนโยบายดับไฟใต้-เรื่องฉาวโฉ่รัฐบาลทักษิณ คด

ย้อนรอย 2 คดีดัง อุ้มฆ่าทนายสมชาย-สังหารชิปปิ้งหมู พัวพัวนโยบายดับไฟใต้-เรื่องฉาวโฉ่รัฐบาลทักษิณ คด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
นับเวลาจาก 26 มีนาคม 2546 จนถึงวันที่ 21 มกราคม 2552 เป็นเวลา เกือบ 6 ปีที่ "ชิปปิ้งหมู ที่ถูกยิงตายนั้น ที่ยังมีข้อสงสัยว่า เกิดจากคดีพัวพันยาเสพติด หรือถูกฆ่าปิดปาก ในคดีการเมืองที่พัวพันถึงรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ในจำนวน 4 คดีสำคัญที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรียกพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.เข้าหารือเพื่อเร่งสะสาง ประกอบด้วย

1.คดีฆ่านักการทูตชาวซาอุดิอาระเบีย

2.คดีฆ่าชิปปิ้งหมู หรือ นายกรเทพ วิริยะ พยานปากเอกในคดีเลี่ยงภาษีการนำเข้าอุปกรณ์สื่อสารของบริษัทชินแซทเทิลไลท์

3.คดีอุ้มฆ่าทนายสมชาย นีละไพจิตรอดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม

และ 4.คดีลอบยิงรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ดที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

มีอยู่ 2 คดีที่พัวพันถึงนโยบายในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้และเรื่องฉาวโฉ่ในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรคือ

1.คดีอุ้มฆ่าทนายสมชาย นีละไพจิตร ซึ่งเป็นทนายความให้แก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

2.คดีฆ่าชิปปิ้งหมู ซึ่งเป้นพยานและผู้ให้ข้อมูลสำคัญแก่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณในคดีเลี่ยงภาษีการนำเข้า อุปกรณ์สื่อสารของบริษัทชินแซทเทิลไลท์ของตระกูลชินวัตร

มาดูกันว่า 2 คดีดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร

นายสมชาย นีละไพจิตร เป็นทนายความมในคดีสำคัญหลายคดี โดยเฉพาะคดีทางภาคใต้ที่ประชาชนถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับการก่อการร้ายจนจำเลยพ้นจากข้อหาได้เกือบทุกคดี เช่น คดีกูเฮงเผาโรงเรียนเมื่อปี 2537 คดีหมอแวพัวพันกลุ่มก่อการร้ายเจไอ

การทำงานของทนายสมชายหลายคดี เปิดโปงพฤติกรรมของตำรวจ หลายฝ่ายเชื่อกันว่า ผลงานในอดีตของเขาน่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกทำให้หายไป เป็นเวลาเกือบ 5 ปีแล้ว

11 มีนาคม 2547 นายสมชายเดินทางออกจากบ้านในซอยอิสรภาพ 9 แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กทม.พื่อไปทำงานตามปกติ โดยขับรถยนต์ส่วนตัว ยี่ห้อฮอนด้าซีวิค สีเขียว ทะเบียน ภง

6786 กรุงเทพมหานคร โดยไม่ได้กลับบ้านเนื่องจากจะต้องไปนอนพักค้างคืนที่บ้านเพื่อนเพื่อเตรียมตัวไปว่าความในคดี เจ.ไอ. ที่ศาลจังหวัดนราธิวาส

12 มีนาคม 2547 เวลา 20.30 น. นายสมชาย ด้เดินทางไปยังโรงแรมชาลีนาในซอยมหาดไทย ย่านลาดพร้าว เพื่อรอพบเพื่อนซึ่งได้นับพบกันไว้ หลังจากที่นั่งรอบริเวณล็อบบี้ของโรงแรมได้ระยะหนึ่ง เพื่อนยังไม่มาตามกำหนดนัด สมชาย นีละไพจิตรจึงเดินทางกลับเนื่องจากง่วงนอน เพราะเป็นคนที่นอนแต่หัวค่ำ

ระหว่างเดินทางออกจากโรงแรมชาลีน่า นายสมชาย ขับรถยนต์ส่วนตัวโดยใช้เส้นทางถนนรามคำแหง เพื่อจะไปนอนพักค้าคืนที่บ้านเพื่อน ระหว่างที่เดินทางออกจากโรงแรมได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 5-6 คน ขับรถยนต์สะกดรอยติดตามในระยะกระชั้นชิด จนถึงบริเวณหน้าร้านแม่ลาปลาเผา เยื้องกับสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก จึงได้ขับชนท้าย เมื่อนายสมชาย หยุดรถเพื่อลงมาพูดคุย กลุ่มชายฉกรรจ์ได้ทำร้ายร่างกายโดยการชกท้องและผลักตัวของนายสมชาย ให้เข้าไปในรถยนต์ของกลุ่มชายฉกรรจ์ แล้วขับรถพาตัวของนายสมชาย หลบหนีไป

เวลา 20.00 น. นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาได้เข้าแจ้งความ ร้องทุกข์บุคคล สูญหาย ต่อพนักงานสอบสวน ของสถานีตำรวจนครบาลบางยี่เรือว่า นายสมชาย ออกจากบ้านพัก มาตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2547 แล้วขาดการติดต่อกับทางบ้าน เกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายขอให้ทางเจ้าหน้าที่ ตำรวจสอบสวนและติดตามตัวด้วย

ข่าวการแจ้งความ นายสมชายหายตัวไปอย่างลึกลับ เป็นที่สนใจของ สื่อมวลชนทุกแขนง และประชาชนทั่วประเทศ เนื่องจากในขณะนั้นนายสมชาย กำลัง รวบรวมรายชื่อพี่น้องชาวมุสลิมจำนวน 50,000 รายชื่อเพื่อเสนอรัฐบาลให้ยกเลิกการ ประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ของจังหวัดชาย แดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดยะลา จังหวัด ปัตตานี จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดสงขลา บางส่วน

นอกจากนั้นยังให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย แก่กลุ่มผู้ต้องหา ที่ถนคดีปล้นอาวุธปืน ของทหารกองพันพัฒนาที่ 4 จังหวัดนราธิวาส ซึ่งหลังจากที่นายสมชาย นีละไพจิตร ได้ตรวจสอบ ข้อเท็จจริงจากผู้ต้องหาแล้ว ปรากฏว่าในระหว่าง การถูกควบคุมตัวอยู่ที่ จังหวัดนราธิวาสก่อน ที่จะส่งตัวมาทีกรุงเทพมหานคร ผู้ต้องหาถูกทำร้าย ร่างกายและทรมาณ เพื่อให้การ รับสารภาพ ซึ่งนายสมชาย ได้ยื่นหนังสือ ร้องเรียนกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอให้ส่งผู้ต้องหาทั้งหมดไปควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมราชทัณฑ์

16 มีนาคม 2547 สภาทนาย ความได้ออกแถลงการณ์กรณี นายสมชาย หายตัวไป เรียกร้องให้ทาง รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณตรวจสอบข้อเท็จจริง และติดตาม ค้นหาให้พบตัวเนื่องจากเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้อง ปกป้องสวัสดิภาพของประชาชน รวมถึงสร้างความชัดเจนกับสมาชิกทนายความทั่วประเทศเนื่องจาก เป็นเหตุการณ์คุกคาม ทนายความผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม

17 มีนาคม 2547 สภาทนาย ความได้มีหนังสือที่ สท.783/2547 ทูลเกล้าถวาย ฎีกาขอพระราชทาน ความเป็นธรรม กรณีนาย สมชาย ถูกลักพาตัว

26 มีนาคม 2547 สภาทนาย ความได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน ติดตามกรณีการ นายสมชาย นีละไพจิตร หาย ตัวไป เพื่อดำเนินการตรวจสอบและรวบรวม ข้อเท็จจริงทั้งหมด

7 เมษายน 2547 พนักงาน สอบสวนได้มีการขออนุมัติหมายจับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม จำนวน 5 นายต่อศาลอาญา เพื่อนำตัวมาสอบสวน โดยพนักงาน สอบสวนและพนักงานอัยการ มีความเห็นสั่งฟ้อง คดีผู้ต้องหาทั้ง 5 คน

16 มิถุนายน 2547 พนักงาน อัยการได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1952/2547 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด (สำนักงาน อัยการพิเศษคดีอาญา 6 สำนักงาน คดีอาญา) โจทก์ พ.ต.ต.เงิน ทองสุข ที่ 1, พ.ต.ท.สินชัย นิ่งปุญญกำพงษ์ ที่ 2, จ.ส.ต.ชัยแวง พาด้วง ที่ 3, ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต ที่ 4 และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน ที่ 5 จำเลย ในข้อหาฐานความผิดร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ และข่มขืนใจผู้อื่น ซึ่งจำเลยทั้ง 5 คน ได้ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี

แม้ว่าพนักงานอัยการจะได้ยื่นฟ้อง พ.ต.ต.เงิน ทองสุก กับพวกรวม 5 คน เป็นจำเลย ในคดีต่อศาล อาญาแล้วก็ตาม แต่ในส่วนเรื่อง ของการติดตามการสูญหายของ นายสมชายนั้น ซึ่งอยู่ในความ รับผิดชอบ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังไม่มีผลความ คืบหน้า

ดังนั้น เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2547 สภาทนายความจึงได้มีหนังสือถึงคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้พิจารณารับโอนสำนวนคดีที่ นายสมชาย ถูกประทุษร้าย และสูญหายเป็นคดีพิเศษ และมีหนังสือลงวันที่ 14 มีนาคม 2548 ถึง นายกรัฐมนตรี ขอให้แต่งตั้งคณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริง กรณีการหายสาบสูญของนายสมชาย มซึ่ง พลตำรวจเอกชิดชัย วรรณสถิต รองนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาเห็นชอบให้ส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณา

แม้หลังจากที่พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องคดีจำเลยทั้ง 5 คน ต่อศาลอาญาแล้วก็ตาม แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ปัจจุบันนี้ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน จำเลยที่ 5 ในคดียังคงปฏิบัติหน้าที่ ราชการ ในตำแหน่ง รอง ผกก.4 ป. ซึ่งแตกต่าง จากจำเลยที่ 1-4 ที่ทางสำนักงาน ตำรวจ แห่งชาติ ได้มีคำสั่งให้พักราชการ สร้างความสงสัยแก่ สาธารณชนและสมาชิกสภาทนายความเป็นอย่าง ยิ่ง อย่างไรก็ตามศาลได้สั่งยกฟ้องจำเลยทั้งหมด

นับจากวันนั้น วันที่ 12 มีนาคม 2547 จนถึงวันนี้วันที่ 21 มกราคม 2552 เป็นเวลาเกือบ 5 ปีแล้ว แต่ยังไร้วี่แววนายสมชาย และยังไม่สารถหาตัวผู้ที่อุ้มฆ่าและผู้ที่บงการมาลงโทษได้

การฆ่าชิปปิ้งหมูหรือนายกรเทพ วิริยะ เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนี้หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณเมื่อปี 2545 เสร็จสิ้นลง นายกรเทพซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญแก่ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจดังกล่าวในคดีเลี่ยงภาษีการนำเข้าอุปกรณ์สื่อสารของบริษัทชินแซทเทิลไลท์ของตระกูลชินวัตร ได้หลบหนีไปกบดานที่ จ.เชียงราย แต่ในที่สุดถูกคนร้ายยิงตาย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2546ที่บริเวณถนนเข้าดอยหมู่บ้านแสนใจ รอยต่อ ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน และต.แม่สลอง ในอ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย

ด้วยอาวุธปืนขนาด 9 ม.ม. เข้าท้ายทอย กกหูซ้ายและลำตัว รวม 3 นัด ซึ่งต่อมาทางตำรวจตั้งประเด็นการสอบสวนว่า เป็นเพราะ "ชิปปิ้งหมู พัวพันกับเรื่องยาเสพติด

ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ระบุถึงข่าวการเสียชีวิตของ "ชิปปิ้งหมู ทันทีที่ทราบเรื่องว่า "หากถามว่า รู้จักประวัติของชิปปิ้งหมูมากน้อยแค่ไหน เข้าใจว่าจะรู้จักนายสุภาพ สีแดง ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่ถูกจับไปเมื่อคืนนี้มากกว่า.ผมทราบเรื่องเมื่อคืน ดูข่าวแล้วก็ตกใจว่า เกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบริษัท ชินฯเลย บริษัท ชินฯ เขาเสียภาษีหรือเสียค่าตอบแทนให้กับรัฐปีหนึ่งสองหมื่นกว่าล้านบาท ไอ้ที่พูดกันนี่มันนิดเดียว ทุกฝ่ายก็ออกมาระบุแล้วว่า มันถูกต้อง มันไม่มีอะไร ทำไมต้องไปวิตก ไม่เห็นมีอะไรน่าวิตก คนที่วิตกไปเองคือ คนที่หาเรื่องมากกว่า (นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 28 มี.ค. 2546)

พ.ต.ท.ทักษิณยังระบุอีกว่า นายกรเทพไปอยู่ที่เชียงราย ก่อนเสียชีวิตตั้งแต่ปี 2543 และไปมีภรรยาเป็นชาวอีก้อ นายกรเทพยังไปอยู่ในหมู่บ้านที่มีกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน ผมก็จำไม่ได้ แต่ทราบว่า ถูกยึดทรัพย์ในคดียาเสพติด และบริเวณนั้นเป็นย่านที่มีการแพร่ระบาดของยาเสพติดมากมาย(นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 29 มี.ค. 2546)

ขณะที่ น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น)กล่าวา ชิปปิ้งหมูเป็นพยานของนายศิริโชค ซึ่งขณะนี้นายศิริโชคโดนฟ้องร้องจากบริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ จำกัด เป็นจำนวน 11,000 กว่าล้านบาท และเรื่องดังกล่าวจะต้องเข้าสู่การพิจารณาของศาลในต้นเดือนหน้านี้ (เม.ย. 2546) ชิปปิ้งหมูอาจจะไม่มีข้อมูลเพียงพอที่สามารถจะยืนยันให้น้ำหนักในคดีนี้ได้ และทำท่าว่าจะแพ้คดี การเสียชีวิตของชิปปิ้งหมู ก็อาจทำให้คนสงสัยได้ว่า เป็นการกระทำของผู้ใดผู้หนึ่งในการตัดตอนพยาน (นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 29 มี.ค. 2546)

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ นางภัทราภรณ์ วิริยะ ภรรยาของ "ชิปปิ้งหมู ได้กล่าวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคือ พ.ต.ต.พิเชษฐ์ ฟองฟู สารวัตรเวรเจ้าของคดี สอ.อ.แม่จัน จ.เชียงราย ว่า "ชิปปิ้งหมูสามี ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใครในพื้นที่มาก่อน แต่ไม่ทราบเรื่องราวลึกๆ เกี่ยวกับสามีมาก่อน เพราะไม่ต้องการเข้าไปก้าวก่ายเรื่องใดๆ ทั้งนั้น (นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 29 มี.ค. 2546)

นับเวลาจาก 26 มีนาคม 2546 จนถึงวันที่ 21 มกราคม 2552 เป็นเวลา เกือบ 6 ปีที่ "ชิปปิ้งหมู ที่ถูกยิงตายนั้น ที่ยังมีข้อสงสัยว่า เกิดจากคดีพัวพันยาเสพติด หรือถูกฆ่าปิดปาก ในคดีการเมืองที่พัวพันถึงรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook