โอ๊ค พานทองแท้ ยืนยัน คุณหญิงพจมานไม่เคยไปพม่า

โอ๊ค พานทองแท้ ยืนยัน คุณหญิงพจมานไม่เคยไปพม่า

โอ๊ค พานทองแท้ ยืนยัน คุณหญิงพจมานไม่เคยไปพม่า
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากกรณีที่มีสื่อพม่ารายงานข่าวว่า คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ได้เดินทางไปพบกับ ซาน ซาร์นี โบ หมอดูชื่อดังของพม่า ในนครย่างกุ้ง พร้อมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อขอคำแนะนำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถกลับประเทศไทยได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ คุณหญิงพจมานยังสอบถามหมอดูถึงเรื่องการขอสัมปทานทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันในแถบตะนาวศรีอีกด้วยนั้น

ล่าสุก (16 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี และ คุณหญิงพจมาน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Oak Panthongtae Shinawatra โดยมีข้อความดังนี้ ครั้งล่าสุดที่คุณพ่อ-คุณแม่ผมเจอกันที่ต่างประเทศ(อังกฤษ) คือรูปนี้ครับ

อยู่ๆ "สลิ่ม" ก็ Forward Message ต่อกันเป็นวรรคเป็นเวรว่า คุณพ่อ-คุณแม่ของผมไปเจอกัน และทำพิธีกรรมอะไรกันที่พม่า ผมขอยืนยันว่า "ตั้งแต่เกิดมาคุณแม่ผมยังไม่เคยไปพม่าเลยแม้แต่ครั้งเดียวครับ..!!"นอกจากนั้น ตั้งแต่คุณพ่อ-คุณแม่หย่าจากกัน 5 ปีแล้ว ยังไม่เคยเจอะเจอกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว มีแต่เจอกันทางหน้าจอสไกป์ และครั้งสุดท้ายที่เจอตัวกันจริงๆ คือที่เมืองไทย ก่อนที่จะมีการพิพากษา เรื่องคดีที่ดินรัชดาครับ..!!

ผมรู้ว่าหลังโพสต์เฟสบุ๊คนี้ จะต้องมีรูปนั้นรูปนี้ออกมา ทั้งรูปรีทัชและรูปเก่าสมัยปฏิวัติ 19 ก.ย.49 ที่ครอบครัวผมไปอยู่ที่อังกฤษพักหนึ่ง ซึ่งฝ่ายตรงข้ามจะเอามาโพสต์หลอกสลิ่ม แล้วก็บอกว่านี่ไง ไหนบอกว่าไม่ได้เจอกัน ไหนบอกว่าไม่เคยไปพม่า ไม่ว่าเรื่องอะไร จะมีสาระหรือไม่มีสาระ ขอให้ได้ด่ากันไว้ก่อน

ครอบครัวผมต้องเดือดร้อน ผจญกับชะตากรรมที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง พยายามยัดเยียดความผิด และป้ายสีเรื่องต่างๆตลอดเวลาตั้งแต่คุณพ่อเข้าสู่การเมือง โดนการใช้กระบวนการยุติธรรม 2 มาตรฐาน แต่งตั้งบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์กับคุณพ่อผมอย่างชัดเจน มาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบและปั้นเรื่องส่งฟ้องศาล ทำให้คุณพ่อต้องโดนโทษจำคุก 2 ปี ในข้อหาเล็กๆคือเซ็นต์ชื่อในฐานะสามี ยินยอมให้คุณแม่ไปซื้อที่ดินรัชดา

ถ้ากระบวนการกฎหมายไทย ใช้มาตรฐานเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไพร่หรือผู้ดี คงไม่มีใครว่าอะไรหรอกครับ แต่กรณีที่ดินคล้ายๆกัน เกิดขึ้นกับอดีตนายกรัฐมนตรี 2 คน คนหนึ่งภรรยาจ่ายตังค์ 7-8 ร้อยล้านประมูลซื้อที่ดิน ต้องโดนจำคุก 2 ปี อีกคนหนึ่งบุกรุกที่ดินหลวง เอาพื้นที่ป่าสงวนต้นน้ำ ซึ่งเป็นสมบัติชาติ เป็นของประชาชนโดยรวม มาเป็นรีสอร์ทส่วนตัว สร้างบ้านพักอาศัย ไม่อายเทวดาเจ้าป่าเจ้าเขา กลับเชิดหน้าชูตาอยู่ได้ในสังคม สลิ่มกราบไหว้สรรเสริญ ไม่โดนเอาผิดใดๆทั้งสิ้น

นี่เป็นแค่ตัวอย่างเดียว ซึ่งผมยังไม่ได้พูดถึงเรื่องคล้ายๆกันเรื่องอื่นอีก เช่น สปก. 4-01 ที่เอาที่ดินทำกินของเกษตรกร มาแจกคนรวยพรรคฯพวกเดียวกับตน นอกจากเรื่องเขายายเที่ยง ยังมีเขาสอยดาวและเขาอื่นๆ รวมถึงเรื่องราวอื่นๆอีกมากมาย ที่ไม่ชอบมาพากลซึ่งเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ทำความผิดกันเห็นๆ แต่กลับไม่โดนเอาผิดลงโทษใดๆเลย ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา

ยิ่งมีเรื่อง 2 มาตรฐานเกิดขึ้นเยอะเท่าไหร่ ประเทศยิ่งถอยหลังล้าหลังขึ้นเท่านั้นครับ ลองคิดดูว่ายิ่งหาเรื่อง, เอาเรื่อง, ยัดเยียดความผิด และสร้างความเกลียดชังขึ้นมาในสังคม พยายามทำร้ายคุณพ่อและครอบครัวผมมา 7-8 ปี พี่น้องประชาชนกลับยิ่งให้ความรักความศรัทธาไม่เสื่อมคลาย ถ้ายังคิดจะใช้วิธี 2 มาตรฐานนี้มาทำร้ายกันต่อไป ประเทศก็จะยิ่งเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ แต่จะไม่มีวันชนะใจพี่น้องประชาชนได้ คนที่เขามีใจรักความยุติธรรมยังมีอีกมากในประเทศนี้ครับ

เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากเป็นรัฐบาล อยากเป็นนายกรัฐมนตรีกันมาก จนทนรอสร้างคะแนนนิยมตามธรรมชาติไม่ไหว จะใช้วิธีอื่นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เช่นการปฏิวัติ, นายกฯแต่งตั้ง, นายกฯพระราชทาน, นายกฯม.7 หรือการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร คุณอาจได้เป็นนายกฯเป็นรัฐบาลสมใจหวัง แต่เมื่อประเทศชาติกลับเข้าสู่ประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งด้วยกติกาที่เป็นธรรมเมื่อไหร่ คุณจะจัดตั้งมวลมหาประชาชนมาอย่างไร ก็แพ้เสียงส่วนใหญ่ของพี่น้องประชาชนอยู่ดี ถ้าอยากจะให้ประเทศอยู่ในวังวนแบบนี้ก็ตามใจ

เค้าว่ากันว่า 20 ปีที่ผ่านมา พรรคเก่าแก่ขวัญใจแม่ยก,อำมาตย์ทั้งหลาย ไม่เคยชนะใจพี่น้องประชาชน ได้เป็นรัฐบาลด้วยวิถีทางประชาธิปไตยล้วนๆสักที จริงหรือไม่ครับ..??

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook