จัดตั้งเครือข่าย ตรวจสอบใช้เงิน ประกันสังคม

จัดตั้งเครือข่าย ตรวจสอบใช้เงิน ประกันสังคม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ภาคประชาชนก่อตั้ง เครือข่ายคนประกันสังคม จับตา-ตรวจสอบมติบอร์ดสปส. หลังผ่านโครงการแจกข้าวพันล้านหลังผ่านโครงการแจกข้าวพันล้านจนถูกด่าไปทั่ว แม้จะยกเลิกไปแล้ว แต่สะท้อนความไม่โปร่งใส รมว. แรงงานปัดไม่รู้เรื่องที่ปรึกษานายกฯ จะใช้งบ 6.9 พันล้านแจกผู้ว่างงานคนละ 3 หมื่นบาท ระหว่างฝึกอบรมอาชีพ พร้อมเรียกประชุมระดับหัวหน้าส่วนราชการรับคนตกงานปิดโรงงานและถนน

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 23 ม.ค. ที่กระทรวงแรงงาน นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน กล่าวระหว่างเป็นประธานมอบนโยบายให้หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดจากทั่วประเทศกว่า 500 คน ตอนหนึ่งว่า ขอฝากให้ข้าราชการทุกคนช่วยกันทำงาน เนื่องจากช่วงนี้เกิดสภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน จึงอยากให้ร่วมกันขับเคลื่อนเร่งรัดให้มีการป้องกันการเลิกจ้าง การว่างงาน และการสร้างงานใหม่ ขณะนี้รัฐบาลมีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายป้องกันและบรรเทาการเลิกจ้าง ให้เรื่องการว่างงานเป็นวาระแห่งชาติ ภายใต้นโยบาย 3 ลด 3 เพิ่ม ทั้งนี้ ตนรู้สึกเป็นห่วงและอยากให้ช่วยทำความเข้าใจต่อลูกจ้างที่ปิดล้อมโรงงานหรือปิดถนน เพราะส่งผลกระทบต่อการลงทุนและภาพลักษณ์ของประเทศ

จากการประเมินจะมีแนวโน้มว่าลูกจ้างจะถูกเลิกจ้างประมาณ 200,000 คน กระทรวงแรงงานมีมาตรการในการป้องกันไว้ล่วงหน้าด้วยการจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ โดยใช้จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นจังหวัดนำร่อง ซึ่งได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี จะเพิ่มเจ้าหน้าที่และเทคโนโลยีให้เพียงพอ โดยขอให้จังหวัดต่างๆ จัดตั้งศูนย์นี้โดยเร็ว นายไพฑูรย์ กล่าว

นายไพฑูรย์ กล่าวว่า สำหรับการส่งเสริมให้มีการจ้างงานนั้น ขณะนี้กระทรวงมีตำแหน่งงานว่าง 135,000 อัตรา ซึ่งคงเพียงพอต่อความต้องการหากผู้ว่างงานไม่เลือกงาน ดังนั้น จึงอยากให้กรมการจัดหางานมีข้อมูลตำแหน่งงานให้ชัดเจนและถูกต้อง มีการ เตรียมพร้อมทุกสัปดาห์ ในส่วนของสำนักงานประกันสังคมจะให้มีการปฏิรูประบบประกันสังคมให้เข้มแข็งและมั่นคง และมีการบริหารจัดการที่เป็นอิสระโปร่งใส ทั้งนี้ รัฐบาลมีแนวคิดที่จะเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านอื่นๆ ให้กับผู้ประกันตน และขยายความคุ้มครองสิทธิประโยชน์เรื่องการเจ็บป่วย ไปถึงบุตรและคู่สมรสของผู้ประกันตน

ต่อมาเวลา 15.00 น. นายไพฑูรย์ เป็นประธานในพิธีปล่อยแถวหน่วยปฏิบัติการพิเศษออกตรวจสอบจับกุมแรงงานต่างด้าว ที่ลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมายและผู้เป็นภัยต่อคนหางาน ในเขตกทม. ซึ่งการออกตรวจ มีรถปฏิบัติการทั้งหมด 8 คัน และเจ้าหน้าที่ตรวจแรงงาน 120 คน

นายไพฑูรย์ กล่าวว่า การออกตรวจแรงงานต่างด้าวในครั้งนี้ เพื่อลดปัญหาการแย่งงานของคนไทย และลดปัญหาอาชญากรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงแรงงานจะละเลยไม่ได้ เนื่องจากแรงงานต่างด้าวส่วนใหญ่ที่ทำงานในประเทศไทย เป็นแรงงานที่ผิดกฎหมาย ทั้งนี้ จะมีการออกตรวจแรงงานต่างด้าวที่ทำงานอย่างผิดกฎหมาย 1-2 สัปดาห์ต่อครั้ง มั่นใจว่าจากการออกตรวจจับจะทำให้แรงงานต่างด้าวลดลงร้อยละ 20-30 ต่อปี

นอกจากนี้ นายไพฑูรย์ยังกล่าวถึงการจัดงานวันนัดพบแรงงานในวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า ในวันนัดพบแรงงานมีผู้สนใจเข้ามาสมัครงานเพียง 3,329 คน เมื่อเปรียบเทียบกับตำแหน่งงานว่างที่เตรียมไว้รองรับกว่า 10,000 อัตรา และข้อมูลที่ได้จากงานนัดพบแรงงาน มีผู้ว่างงานในระดับปริญญาตรีเข้ามาสมัครงานมากที่สุดกว่า 1,068 คน โดยตำแหน่งที่มีผู้สมัครงานต้องการมากที่สุดคือ พนักงานธุรการ พนักงานขาย วิศวกร แต่ตำแหน่งงานที่นายจ้างต้องการมากที่สุด คือ พนักงานฝ่ายผลิต พนักงานขับรถ และพนักงานเสิร์ฟ ดังนั้น แรงงานก็ควรทำงานในระดับพื้นฐานไปก่อน

ผู้ที่จบใหม่ หวังว่าจะได้งานตามระดับการศึกษาที่ตนต้องการนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ควรเริ่มทำงานจากระดับล่างก่อน เมื่อเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว อาจจะมีการปรับเปลี่ยนไปทำงานในระดับที่สูงขึ้น ผู้ที่จบวิศวกรรมน่าจะลองมาทำอาชีพในระดับล่างดูบ้าง เช่น เป็นพนักงานขับรถหรือพนักงานเสิร์ฟ เพราะอาจได้ประสบการณ์จากการทำงานเพิ่มขึ้น รมว.แรงงาน กล่าว

นายไพฑูรย์ กล่าวถึงกรณีนายกนก วงศ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ระบุว่าจะนำเงินโครงการฝึกอบรมอาชีพให้กับผู้ว่างงานจำนวน 500,000 คน ในวงเงิน 6,900 ล้านบาท และผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรม จะรับเบี้ยเลี้ยงระหว่างการฝึกอบรมเดือนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน เมื่อฝึกเสร็จจะได้รับเงินช่วยเหลืออีกเป็นระยะเวลา 3 เดือน เดือนละ 5,000 บาท ในการประกอบอาชีพ ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว และคิดว่าคงเป็นแนวคิดของที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีที่คิดว่าควรดำเนินโครงการในลักษณะดังกล่าว

นายไพฑูรย์ กล่าวว่า การจะดำเนินโครงการฝึกอบรมได้ ต้องนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมบริหารโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงาน เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน ที่มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และจะมีการประชุมถึงแนวทางในการปฏิบัติ พร้อมทั้งรายละเอียดของโครงการต่างๆ ในวันที่ 27 ม.ค.นี้

นายไพฑูรย์ กล่าวต่อว่า ตนยังไม่ทราบรายละเอียดกรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง มีคำสั่งให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปศึกษาการปรับโครงสร้างการบริหารงานกองทุนประกันสังคมของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ให้ดีขึ้น และเป็นมืออาชีพคล้ายกับการบริหารจัดการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ทั้งนี้ หากในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจมีการเสนอแนวคิดดังกล่าว ก็จะมีการนำไปพิจารณาและหาแนวทางในการปรับปรุง เพื่อพัฒนาการบริหารให้กองทุนประกันสังคมมีศักยภาพมากขึ้น

ด้านน.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า เนื่องจากปัญหาในเรื่องมติการแจกข้าวสารแก่ผู้ประกันตน ซึ่งแม้จะมีการเลิกล้มไปแล้ว แต่ก็ได้ทำให้ผู้ประกันตนจำนวนมากตั้งคำถามกับความโปร่งใสของบอร์ดสปส. ว่ามีมติเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร จากนี้จึงต้องการรวมกลุ่มกันเพื่อตรวจสอบคัดค้านแนวทางที่ออกมาจากมติบอร์ดสปส.ที่ไม่ชอบธรรมอย่างเข้มแข็ง ล่าสุดทราบว่านายนิมิตร์ เทียนอุดม ผอ.มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ได้ดำเนินการก่อตั้ง เครือข่ายคนประกันสังคม ทำหน้าที่ในการตรวจสอบมติและโครงสร้างการทำงานของบอร์ด สปส.แล้ว

บอร์ด สปส.กล้านำเงิน 1,000 ล้านไปจ่ายซื้อข้าวสาร แต่ไม่นำเงินมาดูแลเรื่องมาตรการรักษาพยาบาล ที่ผู้ประกันตนยังร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และการรักษาพยาบาลไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะในเรื่องแนวทางของการรักษาผู้ป่วยไตวาย ที่ยังมีปัญหาไม่ได้รับความเป็นธรร เบื้องต้นมีสมาชิกชมรมแล้วร่วม 30 คน ประกอบไปด้วย กลุ่มแรงงานนอกระบบ ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบประกันสัง คม กลุ่มเครือข่ายผู้ติดเชื้อ กลุ่มเอ็นจีโอด้านสาธารณสุข ที่มองเห็นในปัญหาเดียวกัน เชื่อว่าจากนี้จะมีผู้ร่วมประกันที่ได้รับความเดือดร้อนจากแนวทางของประกันสังคม เข้ามาร่วมกลุ่มอีกเป็นจำนวนมากแน่นอน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook