จำได้ไหม
นายมหาเศรษฐี
วิกฤตเศรษฐกิจถดถอยคือปัญหาใหญ่ที่ทุกประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ยามนี้
ถ้าจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างก็ตรงระดับความรุนแรงของผลกระทบที่ได้รับเพราะโครงสร้างทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน
ถ้าจับเอาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาพิจารณาจะพบว่าวิกฤตหลักๆ ในเรื่องนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ ส่วนแรกคือเศรษฐกิจทั้งโลกกำลังอยู่ในห้วงของการถดถอย ภาวการณ์ค้าระหว่างกันหดตัวลง ขณะอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการล้มระเนนของสถาบันการเงินและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทั่วโลก
พวกที่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากที่สุดจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้คือกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป หรือยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของเอเชียอย่างญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ฯลฯ
เนื่องจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศดังกล่าวส่วนใหญ่ฝากไว้กับภาคการส่งออกเป็นหลัก ขณะเดียวกันที่ผ่านมาการเจริญเติบใหญ่ของประเทศก็ถูกผูกไว้กับความเป็นศูนย์กลางทางการเงินบ้าง ศูนย์กลางอุตสาหกรรมของโลกบ้าง
เป็นกลุ่มประเทศระดับแถวหน้าของโลกที่ประสบความสำเร็จสูงยิ่งมาตลอดด้านการพัฒนาตามวิถีของระบบทุนนิยมเสรี
ขณะประเทศด้อยพัฒนาหรือพวกที่มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับตลาดโลกไม่มากนักกลับได้รับผลกระทบน้อยกว่า
ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ก็ในเมื่อสัดส่วนความสัมพันธ์น้อยผลกระทบก็เลยต้องน้อยตาม
สำหรับประเทศไทยเราดูเหมือนจะอยู่ในสถานะแบบกึ่งๆ คือจะพูดว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จมีพัฒนาการกว้างไกลในทางเศรษฐกิจตามวิถีทุนนิยมเสรีก็พูดได้ไม่เต็มปาก หรือจะบอกว่ายังเป็นประเทศด้อยพัฒนาอยู่ก็ไม่ใช่อีก
ผลกระทบที่ได้รับจากวิกฤตเศรษฐกิจเที่ยวนี้จึงออกมาในลักษณะครึ่งๆ เหมือนกัน บางภาคส่วนยังไหลลื่นไปได้อยู่ ขณะหลายภาคส่วนเดี้ยงสนิทโดยเฉพาะภาคการส่งออก
การกอบกู้ประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้คือปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลจำต้องทำอย่างเร่งด่วนก็จริง แต่การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตแบบยั่งยืนโดยไม่พึ่งพาวิถีทุนนิยมเสรีมากจนเกินไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย
จนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลจะขยับตัวทำอะไรนอกเหนือจากการตระเวนเที่ยวไปยืนกลางสี่แยกแล้วแจกเงินให้ชาวบ้านนำไปผลาญใช้กันฟรีๆ
ลืมแล้วหรือเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ยังจำได้ไหมกับประโยคหาเสียงที่เคยสัญญาว่าจะมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจประเทศเพื่อนำไปสู่ความเจริญแบบยั่งยืนสถาพร