ตร.ปล่อยเพื่อนฝรั่งกลับอังกฤษ ควานตัวมือฆ่า-พุ่งเป้าคนเอเชีย

(18 ก.ย.) ความคืบหน้ากรณีเหตุฆาตกรรมโหด 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี หลังจากที่ผลตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอผู้เสียชีวิตกับผู้ต้องสงสัยไม่ตรงกัน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเริ่มต้นแกะรอยหาคนร้ายใหม่ โดยยังคงต้องการตัวชายเอเชียไม่สวมเสื้อที่ปรากฏภาพในกล้องวงจรปิด ยังสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นแรงงานต่างด้าว ส่วนรูมเมทของผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่ไทยอนุญาตให้กลับประเทศแล้ว

นายคริสโตเฟอร์ อลันแวร์ หนุ่มอังกฤษที่ต้องเป็นผู้ต้องสงสัยพัวพันคดีฆาตกรรม นายเดวิด และ นางสาวฮานนาห์ บนเกาะเต่า ได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับประเทศอังกฤษตามความประสงค์แล้ว หลังจากที่ถูกกักตัวเอาไว้รอจนกว่าผลตรวจดีเอ็นเอจะชัดเจน

ทั้งนี้ทางตำรวจท่องเที่ยวได้อำนวยความสะดวกให้อย่างเต็มที่ ซึ่งหาก นายคริสโตเฟอร์ ต้องจะกลับประเทศทันที จะดำเนินการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้ สามารถเดินทางออกจากประเทศไทยได้กับเที่ยวบินคืนนี้ (18 ก.ย.) เวลา 23.00 น. แต่หากมีการตรวจสอบในภายหลังพบว่า นายคริสโตเฟอร์ มีส่วนเกี่ยวข้องก็จะประสานงานส่งตัวกลับมาอีกครั้ง

ขณะที่ทางญาติของนักท่องเที่ยวที่เสียชีวิต ทั้ง 2 ราย ได้เดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว โดยได้เข้าพบกับเจ้าหน้าที่กงศุลประจำสหราชอาณาจักร เพื่อติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่ไทย และหาเบาะแสของคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

ส่วนความคืบหน้าในรูปคดี พล.ต.ต.เกียรติพงศ์ ขาวสำอาง ค์ ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ได้ยอมรับว่า ต้องกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ผลตรวจดีเอ็นเอออกมาไม่ตรงกับผู้ต้องสงสัยสักราย แต่ยังไม่ได้ตัดปมประเด็นไหนทิ้งไป อีกทั้งยังได้ข้อมูลที่สำคัญที่ระบุว่า คนร้ายมีมากกว่า 1 คน และยังสันนิษฐานว่าคนร้ายน่าจะเป็น กลุ่มคนไทยบนเกาะเต่า หรือ แรงงานต่างดาว หรือ กลุ่มนักท่องเที่ยวด้วยกัน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ทิ้งน้ำหนักไปที่กลุ่มคนต่างด้าวมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มเชื้อสายโรฮิงยา ซึ่งอาจจะเฝ้าตัวในมาพื้นที่และก่อเหตุขึ้น แต่ยังไม่ได้ยืนยันข้อมูลแต่อย่างใด ที่สำคัญจะต้องติดตามหาตัว ชายชาวเอเชีย ไม่สวมเสื้อที่พบอยู่ในภาพจากกล้องวงจรปิดมาสอบสวนให้ได้

ทางด้าน นายวันชัย รุจนวงศ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีขั้นตอนการดำเนินคดีฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องชาวต่างชาติครั้งนี้ว่า คดีเกิดขึ้นในประเทศไทย หากสุดท้ายมีการพบว่าชาวต่างชาติเป็นผู้ก่อเหตุ คดีต้องสิ้นสุดและถูกดำเนินคดีในประเทศไทย ถึงแม้ว่าผู้ก่อเหตุจะเดินทางออกจากประเทศไทยไปแล้วก็ตาม