พลิกแฟ้ม : บันทึกรัก คราบเลือด และน้ำตา

พลิกแฟ้ม : บันทึกรัก คราบเลือด และน้ำตา

พลิกแฟ้ม : บันทึกรัก คราบเลือด และน้ำตา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากจะมีการบันทึกคดีสยองขวัญลงในหน้าประวัติศาสตร์ของไทย เสริม สาครราษฎร์ นักศึกษาแพทย์ปี 2 มหาวิทยาลัยมหิดล ฆ่าชำแหละศพ เจนจิรา พลอยองุ่นศรี แฟนสาววัย 22 ปี นักศึกษาแพทย์ปี 5 มหาวิทยาลัยเดียวกัน

เมื่อปลายเดือนมกราคม 2541 คงจะเป็นลำดับต้นๆ ที่ต้องจารึกไว้

ความโหดเหี้ยมของ เสริม สาครราษฎร์ ถูกเปิดเผยขึ้น หลังจาก "สมคิดและสุดา พลอยองุ่นศรี" เจ้าของร้านทองพรทวีชัย อ.สามพราน จ.นครปฐม พ่อและแม่ของเจนจิรา เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สน.พญาไท เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2541 ว่า บุตรสาวหายตัวไปพร้อมกับรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่า สีเขียว ทะเบียน 8 ษ-8580 กรุงเทพมหานคร

สมคิดบอกพนักงานสอบสวนว่า ตั้งแต่บุตรสาวเข้ามาศึกษาต่อที่คณะแพทยศาสตร์ได้พักอยู่กับยายที่ย่านฝั่ง ธนบุรี เป็นเด็กเรียบร้อย กลับบ้านตรงเวลา หากมีธุระที่ไหนจะแจ้งให้คนในครอบครัวทราบก่อน แต่เมื่อวันที่ 26 มกราคม กลับหายตัวไปพร้อมกับรถยนต์ส่วนตัวที่ใช้อยู่เป็นประจำ โดยไม่มีใครสามารถติดต่อได้

ในคำให้การ สมคิดระบุอย่างชัดเจนว่า สงสัยจะเกิดเหตุร้ายกับบุตรสาว และคนที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ เสริม สาครราษฎร์ เนื่องจากอยู่กับลูกสาวเป็นคนสุดท้าย ประกอบกับไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งหรือขัดแย้งกับใครมาก่อน แต่ระยะหลังมักมีปัญหากระทบกระทั่งกับแฟนหนุ่มอยู่บ่อยครั้งเพราะความหึงหวง

พนักงานสอบสวน สน.พญาไท ประสานงานไปยัง พ.ต.อ.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ผกก.สส.น.1 ยศและตำแหน่งขณะนั้น ช่วยติดตามหาตัวเจนจิราโดยเร่งด่วน สิ่งแรกที่ทำคือ เชิญตัวนายเสริมมาสอบปากคำ ชายหนุ่มยอมรับเพียงว่า ก่อนเจนจิราจะหายตัวไปได้พบกันจริงที่ห้างเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ แต่เกิดมีปากเสียงกัน จึงแยกย้ายกันกลับหลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ

วัน นั้นตำรวจต้องปล่อยตัวนายเสริมไป เพราะขาดพยานหลักฐาน แต่ก็ได้เบาะแสชวนสงสัยประเด็นหนึ่ง คือ จากการตรวจค้นรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู รุ่น 316 ทะเบียน ธ-1117 ชลบุรี ของนายเสริมมีร่องรอยเพิ่งผ่านการทำความสะอาดบริเวณช่องเก็บของท้ายรถมา หมาดๆ

แม้ตำรวจจะปล่อยตัวนายเสริมชั่วคราว แต่ก็จัดชุดสืบสวนตามประกบอยู่ไม่ห่าง โดยทราบว่านายเสริมเช่าห้องพักเลขที่ 604 พีเอสเฮาส์คอนโดมิเนียม ย่านฝั่งธนบุรี พักอาศัยอยู่ พ.ต.อ.สฤษฎ์ชัย จึงประสาน พ.ต.อ.โกสินทร์ หินเธาว์ ผกก.สส.น.7 ยศและตำแหน่งในขณะนั้น ร่วมกันคลี่คลายคดี

จากการตรวจสอบประวัตินายเสริมพบว่า เป็นเด็กเรียนเก่งมาก เข้าข่ายอัจฉริยะ เข้าศึกษาระดับปริญญาตรีตั้งแต่อายุ 15 ปี และจบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่อายุ 19 ปี จากนั้นเอนทรานซ์เข้าศึกษาระดับปริญญาตรีอีกครั้งในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

นายเสริมคบหากับเจนจิราได้ระยะหนึ่ง และมักจะชวนกันไปพักผ่อน ชมภาพยนตร์ และรับประทานอาหารที่ห้างเวิลด์เทรดอยู่เป็นประจำ แต่หลังจากเจนจิราหายตัวไป นายเสริมกลับเก็บตัวเงียบอยู่แต่ภายในห้องพัก และมักจะแวะเวียนไปหาบิดามารดาของเจนจิราอยู่เป็นประจำ เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้าของคดี

ต่อมาชุดสืบสวนได้เบาะแสจากเพื่อนสนิทของนายเสริมว่า วันที่ 27 มกราคม นายเสริมแวะไปหาที่บ้านพักย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ และขอล้างรถยนต์นานนับชั่วโมง โดยเน้นทำความสะอาดที่ช่องเก็บของด้านหลังมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีเพื่อนบ้านของนายเสริมที่ จ.ชลบุรี ระบุว่า วันที่ 28 มกราคม นายเสริมกลับมาที่บ้านและนำสิ่งของบางอย่างมาเผาไฟ เมื่อสอบถามก็มีท่าทีตกใจ

เมื่อได้เบาะแสตำรวจจึงเชิญตัวนายเสริมมาสอบปากคำอีกครั้ง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ปีเดียวกัน ครั้งนี้นำตัวเข้าเครื่องจับเท็จ เมื่อถามถึงรายละเอียดเกี่ยวกับแฟนสาว นายเสริมแสดงพิรุธให้เห็นอย่างชัดเจน ในที่สุดก็ยอมรับสารภาพว่าลงมือสังหารแฟนสาวเสียชีวิตไปแล้ว

นายเสริมอ้างว่า หลังจากพบกับแฟนสาวที่ห้างเวิลด์เทรดแล้ว มีปากเสียงทะเลาะวิวาทกัน เนื่องจากเจนจิราบอกเลิก เหตุเกิดภายในรถยนต์ของผู้ตาย เกิดโมโหจึงบีบคอจนขาดใจตาย หลังจากนั้นจึงไปเปิดห้องพักในโรงแรมม่านรูด 99 ซอยรางน้ำ ลงมือชำแหละศพในอ่างอาบน้ำ แล้วทิ้งชิ้นส่วนศพลงในโถชักโครก

หลังจากนั้นได้ย้อนกลับไปที่ห้างเวิลด์เทรดอีกครั้ง นำรถยนต์ของตัวเองไปจอดที่โรงแรมเฟิร์สท์ ย่านราชเทวี แล้วกลับไปที่โรงแรม 99 ขับรถของผู้ตายนำกระดูกไปทิ้งที่สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง แล้วจึงนำรถไปจอดทิ้งไว้ที่หน้าบริษัททีแอนด์ที โอเพนนิ่ง จำกัด หมู่บ้านเมืองทองธานี ย่านแจ้งวัฒนะ กลับมาเอารถตัวเองที่โรงแรมเฟิร์สท์ นำทรัพย์สินของเจนจิราไปทิ้งถังขยะหน้าโรงพยาบาลยันฮี แล้วไปหาเพื่อนที่บ้านพักย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ ล้างรถแล้วกลับบ้านที่ จ.ชลบุรี ในวันรุ่งขึ้น นำเสื้อผ้าและของใช้อีกส่วนหนึ่งของแฟนสาวไปเผาทิ้ง

ตำรวจเข้าค้นหาหลักฐานตามคำให้การของนายเสริม ซึ่งส่วนใหญ่พบหลักฐานตามที่ให้การ โดยเฉพาะรถยนต์มีคราบเลือด เส้นผม และกระดุมเสื้อของเจนจิราตกอยู่ ยกเว้นแต่ที่โรงแรมม่านรูด 99 ตำรวจไม่พบหลักฐานใดๆ แม้จะตรวจสอบบ่อเกรอะของโรงแรมก็ไม่พบชิ้นส่วนของเจนจิรา จึงเค้นเอาความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า จนยอมสารภาพอีกครั้งว่า จุดชำแหละศพอยู่ที่ห้องเลขที่ 604 พีเอสเฮาส์คอนโดมิเนียม โดยก่อนเกิดเหตุได้ชวนแฟนสาวไปติววิชาเรียนที่ห้องพัก ก่อนจะมีปากเสียงกันเรื่องผู้ชายคนใหม่ของเจนจิรา

ระหว่างทะเลาะกันเจนจิราเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อกลับออกมาก็ถูกนายเสริมใช้ปืนขนาด.38 ยิงเข้าที่ขมับซ้ายทะลุขวาเสียชีวิตทันที ด้วยความกลัวจึงลงมือชำแหละศพทิ้งลงชักโครกทำลายหลักฐาน

ตำรวจสรุปสำนวนส่งอัยการพิจารณาสั่งฟ้องนายเสริมในข้อหาฆ่าผู้อื่น โดยเจตนา ทำลายอำพรางซ่อนเร้นศพ พกพาอาวุธโดยไม่ได้รับอนุญาต และลักทรัพย์ เขาตั้งทนายสู้คดีทั้ง 3 ศาล แต่สุดท้ายแล้วศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต !!!

มิเตอร์น้ำจับโกหก

พล.ต.ต.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ผบก.วท.4 อดีต ผกก.สส.น.1 หนึ่งในทีมสืบสวนคดีฆาตกรรม "เจนจิรา พลอยองุ่นศรี" เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุมารดาของผู้ตายให้ข้อมูลว่า สงสัยคนร้ายน่าจะเป็นนายเสริม สาครราษฎร์ ซึ่งติดพันลูกสาวอยู่ ระยะหลังทั้งสองมีเรื่องทะเลาะกันบ่อย ประกอบกับลูกสาวไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกับใคร ไม่น่าจะมีชนวนเหตุอื่นที่จะทำให้ถูกฆาตกรรมได้

"หลังสอบปากคำผมเชื่อว่าฆาตกรน่าจะเป็นนายเสริมแน่ แต่ยังขาดพยานหลักฐาน จึงประสานกับ พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ รองจเรตำรวจ (สบ 7) ขณะนั้น ยังเป็น ผกก.สส.น.7 เฝ้าติดตามพฤติกรรมนายเสริม กระทั่งได้หลักฐานมากพอสมควร จึงควบคุมตัวมาสอบสวน"

แม้ตำรวจจะมีหลักฐานมากพอ แต่นายเสริมยังให้การปฏิเสธ จนต้องนำตัวเข้าเครื่องจับเท็จก็ยังปากแข็ง กระทั่งจำนนต่อพยานหลักฐาน ยอมรับสารภาพจนหมดเปลือกว่า ลงมือสังหารแฟนสาวเพราะโกรธแค้นที่ปันใจให้ชายอื่น

จุดชำแหละศพเป็นประเด็นหนึ่งที่นายเสริมพยายามปกปิด โดยครั้งแรกอ้างว่าใช้ห้องพัก 156 โรงแรมม่านรูด 99 ซอยรางน้ำ ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ชุดสืบสวนประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) สูบบ่อเกรอะของโรงแรมหาชิ้นเนื้อผู้ตาย แต่ก็คว้าน้ำเหลว

"ผมเค้นสอบปากคำนายเสริมอยู่นาน เขาจึงยอมบอกว่า จุดชำแหละศพคือห้องพักเลขที่ 604 พีเอสเฮาส์คอนโดมิเนียม เขาอ้างว่าพอยิงแฟนสาวตายแล้วก็เฉือดเนื้อทิ้งชักโครก ผมตรวจสอบมิเตอร์น้ำห้องพัก กลับไม่พบการใช้น้ำมากผิดปกติ เพราะหากชำแหละศพคนทิ้งชักโครกจริงต้องใช้น้ำในปริมาณมากพอสมควร สุดท้ายเขาจึงยอมบอกว่าชำแหละชิ้นเนื้อทิ้งชักโครกเพียงไม่กี่ชิ้น ที่เหลือนำใส่ถุงดำไปทิ้งบ่อเกรอะแทน ส่วนกระดูกนำไปทิ้งที่สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง"

ตำรวจตรวจสอบบ่อเกรอะของพีเอสเฮาส์คอนโดมิเนียม พบชิ้นเนื้อของเจนจิราและพบกะโหลกศีรษะที่แม่น้ำบางปะกง ห่างจากสะพานข้ามแม่น้ำไม่มากนัก หลักฐานที่ได้กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ใช้มัดนายเสริมจนดิ้นไม่หลุด

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook