บิ๊กบอสโตชิบา ชี้กลยุทธ์ฝ่าวิกฤติ ''สร้างความเชื่อมั่นจากภายใน''

บิ๊กบอสโตชิบา ชี้กลยุทธ์ฝ่าวิกฤติ ''สร้างความเชื่อมั่นจากภายใน''

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่สงบนิ่งนัก ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัว ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจจากภายนอกประเทศ ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความไม่มั่นใจ และชะลอการใช้จ่ายต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้ ยังผลสืบเนื่องถึงภาพรวมธุรกิจ โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นหนึ่งประเภทสินค้าในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ผู้ประกอบการทั้งหลายจำเป็นที่จะต้องหากลวิธีในการรองรับวิกฤติที่เกิดขึ้น ล่าสุด ฐานเศรษฐกิจ มีโอกาสได้ร่วมพูดคุยกับ ฮิเดโนริ มัตสุอิ ประธานบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด ถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจท่ามกลางวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงกลยุทธ์การทำตลาด และเป้ายอดขายรอบบัญชีปี 2551 (เมษายน 2551-มีนาคม 2552)

+ แนวทางฝ่าฟันวิกฤติ

จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น บริษัทจำเป็นที่จะต้องหาแนวทางในการเตรียมพร้อมสู้วิกฤติเศรษฐกิจในปีนี้ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุด นอกเหนือไปจากการลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพ คือการที่จะต้องระดมสมอง และความสามารถ เพื่อสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นในตลาด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงิน และประคับประคองให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไป ความมั่นใจดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องเริ่มต้นจากภายในองค์กร โดยเฉพาะพนักงาน และผู้บริหารต้องเริ่มลงมือทำ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายจำเป็นที่จะต้องมีการสื่อสารกันอย่างใกล้ชิด และสม่ำเสมอ อีกทั้งต้องมีกิจกรรมสร้างขวัญ และกำลังใจ พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพ และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพ และหนทางใหม่

นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงนโยบายให้ความสนับสนุนนักลงทุนต่างชาติ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีการนำเสนอออกมาก่อนหน้านี้ เนื่องจากบริษัทมองว่า ธุรกิจจะถูกขับเคลื่อนให้เดินหน้าต่อไปนั้น ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการได้แก่ ปัจจัยด้านการส่งออก และการใช้จ่ายภายในประเทศ ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ จะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศในที่สุด

+กลยุทธ์ดำเนินธุรกิจปี 2552

บริษัทได้วางแผนในเรื่องของนโยบายประจำปี 2552 เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังคงชะลอตัวอยู่ ณ ขณะนี้ โดยจะชูกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน และกระบวนการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยจะโฟกัสในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ภายใต้เป้าหมายในการสร้างตลาดด้วยความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และบริหารจัดการด้านการตลาดโดยยึดหลัก 5 Green ได้แก่ Green Company, Green Service, Green Products, Green Purchasing และ Green Society และกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานยุโรป RoHS (Restriction of Hazardous Substances)

นอกจากนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญในเรื่องของช่องทางการจัดจำหน่าย (Distribution) โดยจะให้การส่งเสริม และพัฒนาร้านค้าตัวแทนจำหน่ายให้มีความแข็งแกร่งขึ้น ด้วยกลยุทธ์การบริหารการเปลี่ยน (Change Management) โดยโฟกัสยอดขายที่มาธุรกิจเชิง B2B (Business-to-Business) มากขึ้น เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์การแข่งขันในปัจจุบัน โดยที่ผ่านมาสัดส่วนยอดขายที่มาจากธุรกิจเชิง B2B มีเพียง 5% โดยตั้งเป้าที่จะขยายอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 10% ภายใน 2-3 ปีนี้

และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือบริษัทจะฉลองครบรอบ 40 ปี ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ด้วยสัดส่วนเฉลี่ย 40% ตามด้วยการศึกษา 30% และศิลปะ 30% พร้อมกันนี้ ยังได้เปิดตัว โดราเอมอน เป็นสัญลักษณ์ของการโฆษณาสินค้าของบริษัท โดยกิจกรรมที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญอย่าง กิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม อาทิ พิธีปล่อยช้างสู่ป่า คืนสู่ธรรมชาติ จำนวน 2 เชือก ณ เขตป่าสงวนแห่งชาติแม่ยาว จังหวัดลำปาง

+ ผลิตภัณฑ์ใหม่

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าจำเป็นที่จะต้องมีการปรับตัวให้พร้อมกับการแข่งขันที่รุนแรงของตลาด ซึ่งจะทำให้โครงสร้างตลาดมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปจากเดิม โดยจะไม่แข่งกันเพียงแค่เรื่องของราคา หรือการมุ่งเน้นในส่วนของเทคโนโลยีเท่านั้น ในปี 2552 บริษัทจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในทุกหมวดผลิตภัณฑ์เป็นหลัก

ส่วนของผลิตภัณฑ์หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน (เอชเอ) บริษัทมีแผนเปิดตัวตู้เย็น 1 ประตู รุ่น Prestige Style ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องของสีสันที่สวยงาม และการออกแบบที่ทันสมัย โดยสินค้ารุ่นดังกล่าวถือเป็นผลิตภัณฑ์ไฮไลต์สำหรับหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนปีนี้ บริษัทจะสื่อสารถึงผู้บริโภคผ่านสื่อต่างๆ อาทิ หนังโฆษณาทางสื่อทีวี (TVC) จะเริ่มออกอากาศปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้จนถึงเดือนเมษายน ซึ่งถือเป็นฤดูการขายของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว

นอกจากนี้ ในฐานะผู้นำตลาด บริษัทยังนำเสนอตู้เย็น 2 ประตูขนาดใหม่ 18.7 คิว รุ่น Glass ภายใต้เป้าหมายการรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดตู้เย็นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 21% จากมูลค่าตลาดรวมทั้งสิ้น 1.5 ล้านยูนิต

ส่วนผลิตภัณฑ์เครื่องซักผ้า บริษัทจะมีการนำเสนอเครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ SDD-Inverter (Super Direct Drive) ขนาด 14 กิโลกรัม โดยจุดขายอยู่ที่เรื่องของเทคโนโลยีการซักล้าง และการประหยัดพลังงานไฟฟ้าสูงสุดถึง 35% ซึ่งขณะนี้บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 9% จากมูลค่าตลาดรวม 1 ล้านยูนิต อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องซักผ้า และตู้เย็นนับว่าเป็นสินค้าเรือธงของบริษัทที่จะเป็นแรงกระตุ้นยอดขายปีนี้

ในส่วนของเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนชิ้นเล็ก (ดีเอชเอ) บริษัทจะยังคงให้ความสำคัญกับนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ โดยผลิตภัณฑ์หมวดดังกล่าว มีอัตราการเติบโตสูงกว่า 20% และสินค้าที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ได้แก่ เครื่องฟอกอากาศ รุ่น ปิโกเด และเตาอบไมโครเวฟ รุ่น แคลอลิเออร์ ด้านผลิตภัณฑ์หมวดภาพ และเสียง (เอวี) จะให้ความสำคัญในเรื่องของการปรับดิสเพลย์แสดงสินค้า เพื่อให้ดึงดูดลูกค้ามากขึ้น พร้อมนำเสนอโซลูชัน เพื่อเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับตัวสินค้า แทนที่ของการเล่นสงครามราคาดังเช่นที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ บริษัทจะมีการสร้างแบรนด์ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์หมวดดังกล่าวของบริษัทมากขึ้น

สำหรับผลิตภัณฑ์หมวดภาพ และเสียง ปีนี้จะมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์กลุ่มแอลซีดี ทีวี Regza หลายซีรีส์ออกวางจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสินค้าใหม่อย่างเครื่องเล่นดีวีดี 2 รุ่น ได้แก่ SD K690 และ XD E500 ซึ่งถือเป็นการนำเข้ามาทำตลาดเป็นครั้งแรกของบริษัท

+เป้ายอดขายรอบปีบัญชี 2551

ที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราการเติบโตในส่วนของยอดขายช่วง 6 เดือนแรกของรอบบัญชีปี 2551 (ตั้งแต่เดือนเมษายน-เดือนกันยายน 2551) เฉลี่ย 20% โดยช่วงเดือนตุลาคม -ธันวาคม บริษัทมีอัตราการเติบโตของยอดขายมากกว่า 4% โดยบริษัทประมาณการว่าจะสามารถปิดตัวเลขยอดขายในเดือนมีนาคม 2552 ที่ 5,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 14% หากเทียบกับยอดขายรอบปีบัญชีที่ผ่านมา สวนทางกับตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยภาพรวมที่มีอัตราการเติบโตประมาณ 5-8% ซึ่งสัดส่วนรายได้จะแบ่งออกเป็น สินค้าหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน (เอชเอ) 60%, สินค้าหมวดภาพ และเสียง (เอวี) 10% และสินค้าหมวดคอมพิวเตอร์ 30%

อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายรอบบัญชีปี 2552 ไว้ที่ 10% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ตั้งไว้ต่ำกว่ารอบปีบัญชีที่ผ่านมา เนื่องจากคาดการณ์ว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงมีความกังวลในเรื่องการใช้จ่าย ส่งผลให้กำลังซื้อในตลาดลดลง แต่ในทางกลับกัน หากไม่มีประเทศสามารถดำเนินต่อไปโดยไร้ซึ่งปัญหาเชิงลบจากด้านต่างๆ กำลังซื้อผู้บริโภคจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงเดือนเมษายนนี้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook