ใช้ให้เป็น
นายมหาเศรษฐี
เรื่องภาษีที่ดิน-มรดก ที่ รมว.คลังลงมือจุดพลุเอาไว้นั้นแม้จะส่งแสงกระจ่างวาบวับไปทั้งฟ้าเพราะมีกระแสตอบรับดีเหลือเกิน
แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาศึกษาอีกนานนับปีกว่าจะรู้ผลว่ารัฐบาลควรทำหรือไม่
ระหว่างนี้ก็ขอให้ชาวบ้านมารับเงินจากรัฐบาลไปใช้ฟรีพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน (ฮา)
ถ้าพิจารณาในแง่ของหลักการ การจัดเก็บภาษีที่ดิน-มรดกต้องถือว่าเป็นเรื่องควรสนับสนุน เพราะเป็นการเก็บเงินจากพวกคนรวยมาช่วยคนจน เป็นการลดช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนทั้งสองกลุ่มนี้ให้แคบเข้า
แต่พอพิจารณาลึกลงไปในรายละเอียดว่าด้วยลักษณะของสิน ทรัพย์ที่สมควรจัดเก็บ อัตราภาษีที่จะถูกเรียกเข้าหลวง รวมไปถึงวิธีการในการจัดเก็บ ยังมีแง่มุมอีกเยอะให้ต้องถกเถียง
ก็สมควรอยู่ที่รัฐบาลออกตัวว่าขอเวลาศึกษาให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อน เพราะจริงๆ แล้วเรื่องนี้แม้จะดีเลิศอย่างไรแต่ก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบทำทันที
ปัญหาหลักของประเทศยามนี้ไม่ใช่เรื่องการสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้เสียภาษีหรือการลดช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจน แต่เป็นเรื่องที่ประเทศชาติกำลังประสบวิกฤตเศรษฐกิจอย่าง หนัก จะมีคนว่างงานเกิดขึ้นหลายล้านหากปัญหาดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไข
จับเรื่องหลักเรื่องรองกันให้ถูกแล้วค่อยๆ ทยอยแก้ปัญหาไปทีละเปลาะไล่เรียงตามลำดับความสำคัญ แม้วิธีนี้ดูแล้วอาจจะล่าช้าบ้างแต่ก็เป็นระบบ ไม่ใช่สับสนสะเปะสะปะจนหาแก่นสารอะไรไม่ได้เลยในท้ายสุด
โดยความเป็นจริงแล้ว แม้ประเทศไทยกำลังประสบวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนักแต่ก็ถือว่าโชคดีที่เรามีรัฐบาลมากด้วยเสถียรภาพ
จำนวนมือของรัฐบาลในสภามีมากเกินกว่าที่พรรคฝ่ายค้านจะทำอะไรได้ง่าย ขณะเสียงเชียร์นอกสภาจากกลุ่มคนเสื้อเขียว เสื้อครุย เสื้อเหลืองก็ล้นเหลือ
เป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากที่สุดในรอบ 2-3 ปีของประเทศเลยก็ว่าได้
ช่วงปลายของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงตลอดสมัยของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่เคยได้รับโอกาสเช่นอย่างนี้เลยแม้แต่นาทีเดียว
ลดการปูนบำเหน็จรางวัลให้กับผู้มีพระคุณลงเสียบ้าง เลิกเสียทีกับวิธีล้างบางข้าราชการเพียงเพราะไม่ใช่คนของตน ทำได้แค่นี้ก็เป็นคุณอนันต์ต่อประเทศชาติมากแล้ว
ความมีเสถียรภาพของรัฐบาลคือปัจจัยสำคัญยิ่งในการกอบกู้วิกฤตให้กับประเทศ เมื่อมีโอกาสแล้วก็ควรใช้ให้เป็น ไม่ใช่หลงเพริดจนไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ
