ขยายปมร้อน-สภาล่ม จุดอ่อนที่อาจเป็นจุดตาย

ขยายปมร้อน-สภาล่ม จุดอ่อนที่อาจเป็นจุดตาย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
เหตุการณ์สภาล่มเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้สภาผู้แทนราษฎร เพิ่งจะเปิดได้เพียงวันแรกและวันที่สอง ของการประชุมสภาสมัยสามัญ รัฐบาลก็ถูกฝ่ายค้านเล่นเกมตีรวน จนตั้งตัวไม่ติด มีการนับองค์ประชุมบ่อยครั้ง

ดูจะไม่เป็นธรรมนักหากจะตัดสินว่า ประธานวิปรัฐบาลป้ายแดง ชินวรณ์ บุณยเกียรติ ไม่แข็งพอ ที่ไม่สามารถคุมเสียง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลได้

หากจะไล่เรียงสาเหตุก็มาจากหลายปัจจัยด้วยกัน อาทิ การเมืองยังไม่นิ่ง จิตสำนึกและความรับผิดชอบของส.ส.รัฐบาลทุกคนที่จะต้องตระหนักร่วมกัน ยังไม่เกิดขึ้น

อีกทั้งพรรคการเมืองที่เคยครองอำนาจมาถึง 8 ปีเต็ม ย่อมไม่ต้องการสูญเสียอำนาจของตัวเอง

จึงมีการเสนอให้ประธาน นับองค์ประชุมพร่ำเพรื่อ

เกมนิติบัญญัติช่วงชิงความได้เปรียบจากรัฐบาลแบบนี้ เป็นเกมที่ง่าย ไม่มีต้นทุน เพียงแต่อาศัยความเข้มแข็งของหน้าตาบ้างเท่านั้น

ขนาด ปู่ชัย ชิดชอบ เองยังต้องทำใจ ระคนเหนื่อยหน่าย

หากล่มบ่อย รัฐบาลก็ต้องยุบสภาไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องมีใครมาร้องขอให้ยุบสภา ดังนั้น รัฐบาลต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว ปู่ชัยพูดเตือนสติ ส.ส.ซีกที่เป็นรัฐบาล แต่ไม่อยากมาประชุมสภา

นอกจากนี้ ต้องไม่ลืมว่า การก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างของรัฐบาลนั้นไม่ปกติธรรมดา แตกต่างจากสมัยรัฐบาลชวน 2 ที่ อู๊ดด้า จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นประธานวิปรัฐบาล

วันนั้นต้องเรียกว่า เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ของจริง

วันนั้น รัฐบาลมีเสียงมากกว่าฝ่ายค้านเพียง 18 เสียงเท่านั้น แต่องค์ประชุมก็ไม่เคยมีปัญหา

ก็อาจจะพูดได้ว่า เป็นเพราะฝ่ายค้านไม่ตีรวนตั้งแต่เริ่มยกแรก

ปล่อยให้รัฐบาลทำงานหนักมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าในการประสานสิบทิศ เพื่อนำพาชาติบ้านเมืองพ้นจากหายนะเศรษฐกิจ

จำนวนเสียงในวันนั้น เทียบไม่ได้กับวันนี้ ที่รัฐบาลมีเสียงมากกว่าฝ่ายค้านกว่า 40 เสียง !!

ภารกิจก็แทบไม่ต่างกัน เพราะรัฐบาลจะต้องนำพาชาติบ้านเมืองให้พ้นหายนะเศรษฐกิจเช่นกัน

แต่เพียงแค่เริ่มแรก จุดอ่อน ก็ถูกเผยออกมาเสียแล้ว

เป็นจุดอ่อนที่เรียกได้ว่า อันตรายอย่างยิ่ง

เพราะขนาดประชุมสภา มีเสียงมากกว่าฝ่ายค้านถึง 40 เสียง แต่กลับปล่อยให้สภาล่มไม่เป็นท่า

เสียราคาคุย ที่ก่อนหน้านี้บีบ-บี้ให้ ช่อง 11 ถ่ายทอดสด เพราะมั่นใจในเสียง จนกลับกลายเป็นว่า ประจานการทำงานของผู้ทรงเกียรติที่อยากเพียงแค่ได้เป็นรัฐบาล

แต่เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้มีการป้องกันกันมาก่อน

กฎเหล็ก ให้ ส.ส. วิปรัฐบาล 1 คนคุมเสียง ส.ส. 5 คนนั้นเป็น ยาดี ในช่วง ม้าตีนต้น

แต่เมื่อนานไปความผ่อนคลาย บวกกับความชะล่าใจ ทำให้ละเลยกฎเหล็กที่ว่า

น่าเชื่อว่าเหตุการณ์แบบนี้ อาจเกิดขึ้นได้อีกซ้ำซากเป็นบทเรียนที่เรียนกันแบบไม่รู้จบ

อย่าลืมว่า การนำพาชาติบ้านเมืองให้พ้นหายนะนั้น สภาหรือ รัฐสภา จะต้องร่วมมือกับฝ่ายบริหาร เพื่อออกกฎ ระเบียบ หรือกระทั่งกฎหมาย เพื่อเป็นเครื่องมือนำพาไปให้ถึงเป้าหมาย

กฎหมายที่ว่านั้นย่อมเป็นกฎหมายพิเศษ ไม่ใช่การพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ที่ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ต่างก็มีส่วนได้-เสีย ในการแบ่งสันปันส่วนให้ ไอติม ลงไปยังพื้นที่ของตนเองมากที่สุด

การพิจารณากฎหมายงบประมาณจึงไม่เคยมีเหตุการณ์ สภาล่ม มาก่อน

รัฐบาลจะทำอย่างไรกับเกมอันไร้ต้นทุนในสภา ที่ฝ่ายค้านนำมาใช้

อำนาจและบารมีของ ประธานวิปรัฐบาล ในวันนี้มีมากพอที่จะงัดไม้เด็ดมาโอ้โลมปฏิโลมแกนนำ-สมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลให้ร่วมมือร่วมใจร่วมประชุมสภาอยู่หรือไม่

เพราะนี่แค่เกมยกแรก ยังไม่รวมกับเกมที่จะเกิดขึ้นในภาวะที่เหตุการณ์สำคัญ หรือเรื่องสำคัญๆ จะเข้าสู่การพิจารณา ไม่ว่าจะเป็น การจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน, การบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ จำนวน 139 ไร่, โครงการฝายแม้ว ฯลฯ

ทุกเรื่องทุกปัญหาขมวดปมเข้ามาทุกขณะ จนน่ากลัวว่า ที่สัญญาไว้ว่า 90 วันเห็นผลงานนั้น เอาเข้าจริงน่าจะขอ ต่อวีซ่า ออกไปอีกกระมัง !

ยศวดี หงษ์ทอง

ตะลุยข่าว : ฆ่า นศ.สาวจนมุม โทร-พยานเด็กมัดตัว

ความพยายามของตำรวจ กก.สส.น.5 กับการคลี่คลายคดีฆาตกรรม ศศิวิมล เพชรศรี หรือหนิง นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะบริหารธุรกิจ สาขาขนส่งระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต วัย 21 ปี ถึงวันนี้มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะออกหมายจับผู้ต้องสงสัย ที่มีหลักฐานหลายอย่างพัวพันกับการฆาตกรรมครั้งนี้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook