เฉลิมเปิดฉากถล่มงบฯคนแรก แหย่นายกฯเก็บเงินไว้ในมือ4พันล้านไม่มีใครทำ ย้ำโคตรอภิมหาประชานิยม

เฉลิมเปิดฉากถล่มงบฯคนแรก แหย่นายกฯเก็บเงินไว้ในมือ4พันล้านไม่มีใครทำ ย้ำโคตรอภิมหาประชานิยม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
เฉลิมถล่มงบฯกลางคนแรก ชำแหละ18มาตรการกระตุ้นศก. จวกเม็ดเงินไปกระจุกตัวอยู่ที่พรรคแกนนำตั้งรัฐบาล เอาเงินไปเก็บไว้ในมือนายกฯกว่า 4,000 ล้าน แฉซื้อข้าวสารแจก มีบริษัทหนึ่งซื้อข้าวตามสเป็กที่กระทรวงแรงงานกำหนดไว้รอแล้ว (ดูคลิปวิดีโอ เฉลิมอภิปรายตอน1) เฉลิม ถล่มงบฯกลางปีคนแรก ชำแหละ18มาตรการกระตุ้นศก.

เวลา 14.20 น. ร.ต.อ.เฉลิมอยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานส.ส.ในสภา ทำหน้าที่แทนผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายว่า พูดได้เลยว่างบประมาณฉบับนี้ ไม่ใช่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจตามหลักเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นการกระจายรายได้ลงไปไม่ทุกภาคส่วน แต่เม็ดเงินไปกระจุกตัวอยู่ที่พรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และการเอาเงินไปเก็บไว้ในมือนายกฯกว่า 4,000 ล้านแบบนี้ มีที่ไหน ขณะที่งบประมาณกระทรวงต่างประเทศได้ถึง 325 ล้านบาท ตนเชื่อว่าไม่พอ สำหรับวีรกรรมที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศทำไว้ เพราะรมว.ต่างประเทศมาจากผลิตผลของพันธมิตรฯ การกระทำชี้เจตนา ขึ้นเวทีหลายครั้งหลายหน ซึ่งการขึ้นเวทีก็เป็นสิทธิ์ แต่การให้งบกระทรวงต่างประเทศไปนั้นตนไม่เห็นด้วยเพราะ เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.51 ได้มีผู้ไปแจ้งความ ที่สถานีตำรวจราชาเทวะ กล่าวโทษว่า รมว.ต่างประเทศ เป็นผู้ก่อการร้ายสากล จึงไม่เห็นด้วยกับการเอาเงินไปให้ผู้ต้องการก่อการร้ายสากล มันเสียของ และหากรมว.ต่างประเทศเดินทางไปที่สนามบินแล้วถูกจับกุมจะทำอย่างไร

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ส่วนงบประมาณของกระทรวงแรงงานนั้น อยู่ๆทางกระทรวงก็บอกว่าจะนำไปซื้อข้าวสารแจก แจกไม่แจกไม่บอกแต่มีธงไว้แล้ว โดยมีบริษัทแห่งหนึ่งไปซื้อข้าวสารสเป็กเดียวกับที่กระทรวงแรงงานจะกำหนดสเป็กเลย เรื่องนี้นายกฯ ต้องไปดูหากบอกว่าเรื่องยังไม่เกิด ท่านก็ได้คะแนนสะสม ส่วนงบประมาณรายจ่ายของกระทรวงวัฒนธรรม 22 ล้านบาท ก็ไม่ขัดข้องแต่ไม่เข้าใจว่ากระทรวงวัฒนธรรมจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไหน เอาไปทำไม 22 ล้านบาท เสียของมันไม่เข้าขอบข่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนงบกระทรวงศึกษาธิการนั้น ตนไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์แต่คนรู้เศรษฐศาสตร์ 100 คนบอกเหมือนกันหมดว่าไม่ได้ เกี่ยวข้องอะไรเลยกับเรื่องเรียนฟรี 15 ปี แบบนี้มันต้องไปจัดในงบปกติไม่ใช่งบกระตุ้นเศรษฐกิจ

"แปลกใจนายกฯ ที่ไม่ให้งบกระทรวงยุติธรรม กระทรวงกลาโหมสักบาท หรือมองว่า รัฐมนตรีไม่มีความยุติธรรมจึงไม่ให้งบ สำหรับนโยบายอภิสิทธิ์ 16 นโยบาย ผลลัพท์ที่จะเกิดขึ้นจะแสดงให้เห็นว่าที่ร.ต.อ.เฉลิมได้ชำแหละนโยบายสมเหตุสมผลหรือไม่ บอกว่าช่วยเหลือค่าครองชีพให้ 2,000 บาทครอบคลุม 9,200,000 คน แบบนี้ถือว่าซื้อเสียงล่วงหน้า บอกว่าต่างชาติใช้แบบนี้มันไม่จริง จอร์จดับเบิลยู บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ใช้วิธีคืนภาษี ใต้หวันใช้วิธีจ่ายเป็นคูปอง สำหรับโครงการ 5 มาตรา 6 เดือนช่วยเรื่องค่าครองชีพนั้น ท่านนายกฯรู้หรือไม่ไม่ทราบว่ามาตรการนี้ไม่ใช่สมัคร (นายสมัคร สุนทรเวช)หรือสมชาย(นายสมชายวงศ์สวัสดิ์) คิด แต่คนคิดคือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ท่านอายหรือไม่ เพราะเคยวิพากษ์วิจารณ์บอกว่าเป็นทักษิโนมิกส์ เป็นทุนนิยมสามานย์ บอกว่าเป็นประชานิยม แต่ท่านทำตาม แบบนี้ท่านจะเลิกหรือไม่ เลิกก็ได้ หรือไม่อย่างนั้นท่านต้องไปตบปากที่ได้พูดออกมา นายกฯไม่คิดอะไรใหม่ๆ หรือคิดจะจ่ายเงินอย่างเดียว หากเงินไม่พอ แล้วไปกู้ อันนี้มันเป็นรายรับ ซึ่งมันผิดรัฐธรรมนูญ และพ.ร.บ.บริหารหนี้ อันนี้ผมไม่ได้ว่า แต่ขอเตือน ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า ปีนี้เห็นชัดว่า การจัดเก็บภาษีไม่เข้าเป้า เงินคงคลังมีแสนล้าน แต่รัฐบาลต้องจ่ายเงิน หนึ่งแสนสองหมื่นล้านต่อเดือนแบบนี้ชักหน้าไม่ถึงหลัง เศรษฐกิจมีแต่ทรุดกับทรุด แบบนี้ นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯได้ ตนก็เป็นนายกฯได้ แบบนี้หาเงินเข้าประเทศได้อย่างไร เคยบอกหรือไม่ว่าหาตลาดขายข้าว เคยคุยให้อาเซียนมาจับมือกันหรือไม่ มีแต่พูดว่าจะกู้แต่ไม่รู้จะกู้ที่ไหน บอกจะขายพันธบัตร ตนบอกได้เลยว่ายาก ยิ่งมีรมว.ต่างประเทศเป็นคนนี้ ลำบาก คนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ได้ปรามาสพ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็นทุนนิยมสามานย์ โดยในการอภิปรายงบประมาณปี 2544 ของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ นายอภิสิทธิ์ได้อภิปรายประชานิยมอย่างเผ็ดร้อนโดยเฉพาะโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค และปรามาสว่า เมื่อชนะการเลือกตั้งแล้วก็ไม่ต้องเอานโยบายประชานิยมมาบริหารบ้านเมือง แต่รัฐบาลนี้กลับนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียง

" ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์กล่าวมาตลอดว่า ประชานิยมเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่มาวันนี้ พอมาเป็นรัฐบาลกลับมากลับคำพูดเสียเอง ซึ่งเป็นโคตรอภิมหาประชานิยม การที่ผมออกมาพูดอย่างนี้ไม่ได้พกความแค้นแต่พกความคิดและความปรารถนาดีร.ต.อ.เฉลิม กล่าว รวมเวลาที่ร.ต.อ.เฉลิมอภิปรายประมาณ 1.50 ชั่วโมง

ก่อนหน้านี้ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญทั่วไป เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณร่ายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2552 วงเงินงบประมาณ 116,700 ล้านบาท เริ่มขึ้นแล้วเมื่อเวลา 13.30 น. ที่ผ่านมา โดยก่อนเข้าสู่วาะ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้หารือกับ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยขอให้รัฐบาลขยายเวลาการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณร่ายจ่ายเพิ่มเติม เพิ่มในวันพรุ่งนี้ (29 ม.ค.52) อีก 1 วัน เช่นเดียวกับ นายชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.จังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย ที่อภิปรายสนับสนุนให้ขยายเวลาการพิจารณาเพิ่มอีก 1 วัน เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญและมีหลายเรื่องที่ต้องอภิปรายให้ชัดเจน

นายกฯ แจง งบ1.16 แสนล้าน กระตุ้นศห. เน้นให้ปชช.จับจ่าย

จากนั้นจึงเข้าสู่วาระการพิจารณา โดยนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชี้แจงว่า หลักการตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2552 รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณจำนวนไม่เกิน 116,700,000,000 บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเป็นจำนวน 97 ,560,523,700 บาท และเป็นรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังเป็นจำนวน 19 , 139 ,476,300 บาท โดย 1.รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินในการดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนเพื่อเร่งรัดฟื้นฟูเศรษฐกิจและกระจายไปสู่ระบบเศรษฐกิจทุกภาคส่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและภาคธุรกิจ โดยลดค่าครองชีพแลเพิ่มรายได้ และดำเนินโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในชนบท จึงต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม เป็นเงินไม่เกิน 97,560,523,700 บาท โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. ค่าใช้จ่ายตามมาตรการช่วยเหลือการครองชีพของบุคลากรภาครัฐ เป็นเงิน 2,652,000,000 บาท 2. ค่าใช้จ่ายเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพิ่มสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมนุม เป็นเงิน 6,900 ล้านบาท 3. เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงิน 4,090,448,000 บาท 4. เพิ่มจัดสรรตามแผนงานฟื้นฟูและเสริมสร้างความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจและแผนงามเสริมสร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตและความมั่นคงด้านสังคม ของหน่วยงานต่างๆ เป็นเงิน 83,918,075,700 บาท 2. ตามมาตรา 169 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญ บัญญัติให้ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังในพ.ร.บ.โอนเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมหรือพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีถัดไป ทั้งนี้ให้กำหนดแหล่งที่มาของรายได้ เพื่อชดใช้รายจ่ายที่ได้ใช้เงินคงคลังจ่ายไปก่อนแล้วด้วย ดังนั้นจึงต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง เป็นจำนวน 19,139,476,300 บาท และเป็นที่ทราบโดยทั่วไปถึงวิกฤตเศรษฐกิจการเงินในสหรัฐและผลกระทบต่อเนื่องที่นำไปสู่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลก ที่คาดว่าจะมีความรุนแรงส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ทั้งด้านการส่งออกสินค้า การท่องเที่ยว ในขณะที่เศรษฐกิจในประเทศ ทั้งการใช้จ่ายและการลงทุน ยังอยู่ในสภาวะชะลอตัว ดังนั้น ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจึงชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกยอย่างรวดเร็ว จะเห็นว่า ในไตรมาส 3 ของปี 51 เศรษฐกิจมีการขยายตัวเพียงร้อยละ 4.0 ชะลอตัวลงจากที่มีการขยายตัวร้อยละ 6.0 และ 5.3 ในไตรมาสแรกของปี และในไตรมาสุดท้ายของปี 51 ผลกระทบต่อการส่งออกมีความรุนแรงขึ้น เห็นได้จากมูลค่า ปริมาณการส่งออกที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤศจิกายน มูลค่าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ และปริมาณการส่งออก ลดลงร้อยละ 17.7 และร้อยละ 20.8 ตามลำดับ และในเดือนธันวาคม มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 14.6 และ 16.3 ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทย ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินในสหรัฐ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในภาพรวม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 52 นี้ ภาวะเศรษฐกิจโลกจะถดถอยและส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย การชะลอตัวของกำลังซื้อทั้งในและนอแกประเทศ จะส่งผลให้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมลดลง ส่งผลให้มีการเลิกจ้างงาน ดังนั้นการว่างงานจะรุนแรงขึ้นในไตรมาสที่ 2 และ 3 ซึ่งจะส่งผลกระทืบต่อเนื่องต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่น รวมทั้งบรรยากาศการผลิตและการลงทุน และอาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการผลักดันการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะปานกลางได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากสภาพปัญหาดังกล่าว รัฐบาลตระหนักดีว่า ปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขคือปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ดังนั้นรัฐบาลจึงกำหนดแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อดำเนินการในระยะเร่งด่วน สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้ประชาชนใช้จ่ายสิ่งจำเป็นในชีวิตอย่างต่อเนื่องในระยะแรก และให้มีการลงทุนของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องทำให้ ระบบการผลบิตของประเทศ สามารถดำเนินกิจกรรมการผลิตต่อไปได้ และสนับสนุนให้สามรรถรักษาระดับการจ้างงานไว้ได้ ในระดับที่จะไม่กลายเป็นปัญหาทางสังคม และเป็นอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะต่อไป ดังนั้นการดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับ การดำเนินการเรื่องเร่งด่วน ควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต่างๆไปพร้อมๆกันอย่างเป็นบูรณาการ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนและครม.ได้ฟังข้อเสนอแนะและข้อสังเกตในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งจากสมาคมวิชาชีพ นักวิชาการ และตัวแทนของภาคส่วนต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้พิจารณาทบทวนสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ ทางเลือกที่มีความเหมาะสม และความสอดคล้องกับความจำเป็น ในการดำเนินนโยบายมาตรการเร่งด่วนของรัฐบาลแล้วงเห็นว่า รัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2552 เพื่อให้เม็ดเงินของรัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว แต่การดำเนินการดังกล่าว รัฐบาลยังยึดมั่นให้ความสำคัญกับกรอบความยั่งยืน ทางการคลังของประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังแะเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว มุ่งเน้นบรรเทาภาวะความเดือดร้อนของประชาชนให้มากที่สุด โดยมีเงินที่พึงได้มาสำหรับจ่ายตามงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม คือเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 97,560,523,700 บาท และรายได้อื่นๆ จำนวน 19 , 139 ,476,300 บาท โดยมีวัตถุประสงค์และโครงการในการใช้งบประมาณดังต่อไปนี้ 1.การฟื้นฟูและเสริมสร้างความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ จำนวน 37 , 464 , 449 , 700 บาท ประกอบด้วย โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐ โครงการ 5 มาตรการ 6 เดือน โครงการจัดทำและพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเกษตรกร โครงการแหล่งน้ำขนาดเล็ก การจัดการน้ำ โครงการสร้างทางภายในหมู่บ้านเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน โครงการด้านพาณิชย์ โครงการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว การสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมขนาดกลาง ขนาดย่อม และโครงการฟื้นฟูความเชื่อมั่นเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ 2. การเสริมสร้างรายได้พัฒนาคุณภาพชีวิตและความมั่นคงด้านสังคม จำนวน 56 , 005 , 626 , 000 บาท ประกอบด้วยโครงการสนับสนุนการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 15 ปี โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน รายการค่าใช้จ่ายเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน โครงการสร้างหลักประกันรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุ โครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) โครงการปรับปรุงสถานีอนามัย และการปรับปรุงที่พักอาศัยให้ตำรวจชั้นประทวน 3.การบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 4 ,090,448,000 บาท เพื่อเป็นเงินสำรองไว้สำหรับกรณีค่าใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 52 ที่จัดเตรียมไว้ไม่เพียงพอจากการเพิ่มเป้าหมายค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเร่วด่วนตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่อาจใช้งบประมาณเพิ่มเติมและการใช้จ่ายตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยที่มิได้คาดหมาย และ 4. รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 19 , 139 ,476,300 บาท ซึ่งเป็นการตั้งงบประมาณรายจ่ายชดเชยเงินคงคลังที่จ่ายไปแล้วตามที่กฎหมายกำหนด นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มาตรการตามร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว เป็นมาตรการระยะเร่งด่วน และเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลซึ่งจะประกอบไปด้วยมาตรการระยะสั้น ระยะปานกลางและระยะยาว ทั้งที่ใช้งบประมาณเป็นตัวขับเคลื่อนและมาตรการอื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณ ซึ่งครอบคลุมการช่วยเหลือทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งเป็นการวางรากฐานสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศ รวมถึงความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม อย่างมีคุณภาพ ยั่งยืน ทั้งนี้ตนทราบดีว่า เงื่อนไขด้านเวลามีความสำคัญ แต่เพื่อให้ร่างพ.ร.บ.ดังบังคับใช้โดยเร็ว แต่ด้วยข้อจำกัดระยะเวลาที่ต้องใช้จ่ายในช่วง 6 เดือน และขนาดของวงเงินที่มีอยู่จำกัด ทำให้รัฐบาลไม่สามารถดำเนินการเรื่องสำคัญอื่นๆได้เพียงพอกับข้อเสนอของทุกฝ่าย มาตรการในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นเพิ่มอำนาจการซื้อให้เกิดการใช้จ่ายต่อเนื่องเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นอุปสงค์รวมในประเทศ ซึ่งรัฐบาลเชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย โดยเฉพาะความร่วมมือของฝ่ายบริหารกับนิติบัญญัติจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การแก้ไขปัญหาต่างๆทางเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญผ่านพ้นไปได้ด้วยดี นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับเรื่องเวลาการอภิปราย ตนขอยืนยันว่า เวลาที่รัฐบาลให้สำหรับสมาชิกในการอภิปรายคงจะยาวกว่าทุกครั้งที่ได้มีการพิจารณางบประมาณกลางปีหรืองบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และที่มีการนัดในช่วงบ่ายวันนี้เป็นดำริของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งรัฐบาลไม่ได้คิดที่จะประชุมครม.ช่วงเช้า แต่เมื่อมีนัดหมายของสภาออกมา จึงนัดประชุมครม.ช่วงเช้าเพราะไม่ต้องการปล่อยให้เวลาเสียไป ขอยืนยันว่า การทำงานของตน ได้กำชับแม้กระทั่งการเดินทางไปต่างประเทศว่า ตนควรจะได้อยู่ประชุมสภาโดยเฉพาะในวาระที่สมาชิกอย่างสอบถามหรือตั้งกระทู้ถาม ซึ่งก็ได้ยึดแนวทางนี้มาโดยตลอด และถ้าไม่มีภารกิจที่มีความจำเป็นจริงๆ ก็พร้อมฟังความเห็นและตอบข้อซักถาม ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เริ่มการชี้แจงไม่ถึง 30 วินาที นพ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นพร้อมกล่าวผ่านไมโครโฟนว่า " วันนี้พวกผมไม่อยู่ฟัง และเดินออกจากห้องประชุม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook