เปิด 3 มุมมอง "ลูกเทพ" การตลาดคุณไสย งมงายตามกระแส?

เปิด 3 มุมมอง "ลูกเทพ" การตลาดคุณไสย งมงายตามกระแส?

เปิด 3 มุมมอง "ลูกเทพ" การตลาดคุณไสย งมงายตามกระแส?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ลูกเทพ" อีกหนึ่งประเด็นที่ส่งผลให้เกิดการโต้แย้งกันแบบสุดขั้วในสังคม ณ เวลานี้ ฝ่ายหนึ่งก็ออกมาตั้งธงว่านี่เป็นความงมงายและช่างน่าหัวเราะ อีกฝ่ายหนึ่งก็ออกมาปกป้องความคิดความเชื่อของตัวเองอย่างสุดพลัง แต่ที่จะปฏิเสธไปไม่ได้เลยก็คือ มันเป็นเรื่องของการตลาดอย่างไม่ต้องสงสัย

ในขณะเดียวกัน มันก็มีความคล้ายคลึงกับกระบวนการทางพุทธพาณิชย์ คือมีสรรพคุณที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ทีมข่าว Sanook! News จึงขอเปิดมุมมองจากทั้งคนขาย นักการตลาด และพระสงฆ์ แบบให้เห็นกันจะจะ มาติดตามไปพร้อมๆ กันว่า "ลูกเทพ" คืออะไรกันแน่? 

มุมมองคนขาย...เปิดใจเจ้าสำนักบ้านลูกเทพ

"บ้านลูกเทพ" คือแฟนเพจขายตุ๊กตาลูกเทพมือวางอันดับต้นๆ เพราะมีเซเลบหลายๆ รายถือตุ๊กตาลูกเทพของสำนักนี้ออกรายการโทรทัศน์ โดยมี "คุณคิงส์" เป็นผู้จัดหาให้ 

คุณคิงส์ เล่าว่า จุดเริ่มต้นของ "ลูกเทพ" ในสำนัก "บ้านลูกเทพ" ของเขามาจากกลุ่มคนเล่นตุ๊กตา ซึ่งบางคนก็อาจจะมีไว้เป็นเพื่อน เพราะไม่มีลูก หรือมีปัญหาหนักอกหนักใจที่ไม่สามารถบอกใครได้ จึงเลี้ยงตุ๊กตาไว้พูดคุยด้วย (คล้ายๆ กับเพื่อนในจินตนาการของเด็กๆ) ไม่ได้มีปาฏิหาริย์อะไร

"มันก็เหมือนกับเวลาที่คุณซื้อรถใหม่มาสักคันแล้วเอาไปให้พระที่วัดเจิมนั่นแหละ เพียงแต่อันนี้เป็นตุ๊กตาที่เราเอาไปให้พระที่นับถือรดน้ำมนต์ สวดเพิ่มบารมีให้ คล้ายๆ การปลุกเสกของขลังอื่นๆ เพียงแค่มันเปลี่ยนรูปลักษณ์เท่านั้นเอง คนทั่วไปก็อาจจะไม่ชิน แต่สำหรับเรา เราทำเล่นกันเองมา 12 ปีแล้ว มันเพิ่งจะมาบูมตอนนี้"

"กุมารทองเลี้ยงด้วยน้ำแดง ลูกเทพเลี้ยงด้วยบุญ" สำนักบ้านลูกเทพยืนยันว่ามันไม่ใช่กุมารทองแน่นอน แม้คำว่า "ลูกเทพ" จะถูกนำไปใช้ในหลายๆ ความหมาย แต่ละสำนักก็จะมีแนวทางแตกต่างกัน บ้างก็เรียกว่า "กุมารทองสายแบ๊ว" ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกก็จะเป็นตุ๊กตาเหมือนกัน เพียงแต่วิธีการจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

"ของบางสำนักจะเป็นคุณไสยแท้ๆ เลย คือมีการทำพิธีกรรม บรรยายสรรพคุณว่ามีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไรต่อมิอะไร ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นๆ เข้าใจคำว่า "ลูกเทพ" ของเราผิดไปมาก เพราะเราจะบอกเลยว่าลูกเทพของเราต้องเลี้ยงด้วยบุญนะ คนเอาไปบูชาต้องทำบุญให้ทาน มันก็เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งให้คนทำดี" คุณคิงส์อธิบาย

อาจกล่าวได้ว่ากลุ่มคนที่บูชา "ลูกเทพ" น่าจะแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้อีก 2 กลุ่ม พวกแรกคือมีความชอบในของเล่นประเภทนี้อยู่แล้ว คล้ายๆ กับการสะสมของอื่นๆ และมีการเพิ่มเอาความเชื่อแบบไทยๆ เข้าไป

เพราะอะไรๆ ที่ผ่านคำว่า "ปลุกเสก" มาแล้ว มักจะดูมีพลังงานบางอย่างที่ทำให้ผู้ครอบครองรู้สึกดี

กับอีกกลุ่มหนึ่งที่บูชาลูกเทพในฐานะ "กุมารทอง"

เมื่อมีการเอ่ยถึงสำนักอื่นๆ ทีมข่าว Sanook! News จึงได้ติดต่อไปยังแฟนเพจ "กุมารี-กุมารทอง สำนัก อ.เทพ พงศาวดาร" ต้นตำรับ "กุมารทองสายแบ๊ว" ที่เคลมว่า "แรงและเข้มขลังเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย" เพื่อขอสัมภาษณ์ ได้รับคำตอบว่า "สายใหญ่เค้าไม่ว่างอ้ะค่ะถ้าว่างจะบอกอีกที"

ไม่แน่ใจว่า "สายใหญ่" คืออะไร แต่มันอาจจะเป็นศัพท์เทคนิคของทางสำนัก โอเค...งั้นเรื่องนี้ริวจะไม่ยุ่ง

ทั้งนี้ เราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "ลูกเทพ" มีสถานะเป็นของซื้อของขายในโลกอินเทอร์เน็ตไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ต่างไปจากเครื่องสำอาง อาหารเสริม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ขายกันเกลื่อนในโซเชียลมีเดีย ซึ่งตัวคุณคิงส์เองก็ยอมรับว่ามันมีการตลาดเข้ามาเกี่ยวข้อง

"ถ้าจะบอกว่าเป็นการตลาดก็คงใช่ ตั้งแต่เราเรียกว่า "ลูกเทพ" มันก็คือการตั้งชื่อให้กับของที่เราชอบ โดยหาคำที่เหมาะสม แล้วคนอื่นๆ จะได้เข้าใจตรงกันกับเรา"

โดยเฉพาะในเรื่องของราคาที่ฝ่ายตรงข้ามจะโจมตีเป็นพิเศษ เพราะมีตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสน ซึ่ง คุณคิงส์ ได้ชี้แจงว่า "มันเป็นความชอบส่วนบุคคล" พูดง่ายๆ คือ ใครใคร่จ่ายจ่าย แต่ที่ผ่านๆ มาก็ยังไม่เคยเห็นใครซื้อตัวละเป็นแสน

"ไม่อยากให้มาโจมตีกันเพราะเข้าใจไม่ถูกต้อง ถ้าถามว่าทำไมตั้งราคาแพงขนาดนั้น ก็อยากให้เข้าใจว่ามันไม่มีผลิตในเมืองไทย ถ้าเป็นคนที่เล่นตุ๊กตาแบบนี้จะรู้ว่ามันเป็นของนำเข้า มียี่ห้อ ผลิตล็อตละไม่กี่ตัว บางทีก็เป็นรุ่นลิมิเต็ด มันก็ต้องแพงเป็นธรรมดา"

"ลูกเทพ" ในสายตานักการตลาด

คุณผรินทร์ สงฆ์ประชา เลขาธิการสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย ในฐานะนักการตลาดผู้คร่ำหวอดในวงการอีคอมเมิร์ซ เขามองเห็นว่าปรากฏการณ์ลูกเทพจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดปัจจัยทั้ง 3 ประการดังต่อไปนี้

ประการแรกคือ บุคคลที่มีชื่อเสียง ดารา คนหน้าตาดีๆ ซึ่งถ้าจะพูดในเชิงการตลาดแล้วก็ต้องบอกว่าคนเหล่านี้เป็น Influencer หรือผู้มีอิทธิพลทางความคิดต่อคนอื่นๆ อยู่แล้วโดยธรรมชาติ ในกรณีของลูกเทพ เราก็จะเห็นว่ามีซเลบจำนวนหนึ่งออกมาพูดถึงพร้อมกับเล่าประสบการณ์ส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับลูกเทพ ทั้งในรายการโทรทัศน์ ยังไม่นับสื่อส่วนตัวอย่างแฟนเพจหรืออินสตาแกรม

ปัจจัยที่สองคือ ความต้องการแก้ปัญหาทางลัดของคนไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่าการทำมาหากินกับดวง ผี พระ หวย ไม่เคยหายไปจากบ้านเรา จะบอกว่ามันเป็นตลาดที่ไม่เคยซบเซาก็คงไม่ผิด ด้วยเหตุที่คนส่วนมากชอบมองหาวิธีแก้ปัญหาแบบง่ายๆ ทำได้เร็ว หวังผลเร็วๆ ประกอบกับการได้ยินหรือได้ฟังบุคคลที่มีชื่อเสียงให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหา ก็ยิ่งชวนให้เชื่อได้แบบสนิทใจ

และปัจจัยสุดท้าย ต้องยกเครดิตให้กับโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารที่เซเลบแต่ละคนเป็นเจ้าของ และมีฐานผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก ทันทีที่คนดังเหล่านี้โพสต์รูปลูกเทพ คนจำนวนมากก็เห็นมันได้โดยง่าย เมื่อเห็นบ่อยๆ เห็นซ้ำๆ จึงไม่แปลกอะไรเลยที่มันจะกลายเป็นกระแส

ในแง่มุมของนักการตลาด คุณผรินทร์ ระบุว่า ทั้ง 3 องค์ประกอบนี้คือกลไกสำคัญในการปั้นเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้กลายเป็นกระแสฮิตติดลมบน จะเห็นได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ทั้ง 3 ปัจจัยนี้รวมตัวกัน เมื่อนั้นคือช่วงเวลาแจ้งเกิด ย้อนกลับไปในช่วง "เฟอร์บี้" ระบาด มันก็อธิบายได้ด้วยสูตรนี้เช่นกัน

ถ้าจะพูดแบบภาษานักการตลาดดิจิทัล จะเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "ไวรัลลูกเทพ" ก็คงไม่ผิด กระแสนี้จะค่อยๆ เงียบลงไปในไม่กี่วันข้างหน้า หากไม่มีเหตุการณ์อื่นๆ มากระตุ้น

มอง "ลูกเทพ" แบบพุทธแท้

พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ผู้สำเร็จเปรียญ 9 ประโยค จากวัดสร้อยทองอารามหลวง เห็นว่าปรากฎการณ์ลูกเทพคือสิ่งที่บอกว่าคนไทยกับเรื่องงมงายไม่มีวันแยกจากกันได้

"พุทธกับเรื่องแบบนี้ ไปด้วยกันไม่ได้นะโยม ต้องแยกให้ชัด ใครอยากจะเชื่อจะเชื่อไป เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่อย่ามาอ้างหรือทำในนามของพุทธศาสนา ลูกเทพมีสถานะไม่ต่างพวกกุมารทอง มีการอ้างการอัญเชิญเทพมาอยู่ ให้คอยช่วยเหลือดูแล พูดง่ายลูกเทพก็คือกุมารทองหรือรักยม ในเวอร์ชั่น 2015 นี่เอง"
กล่าวโดยสรุปแล้ว ตุ๊กตาลูกเทพไม่ได้เป็นแค่ตุ๊กตาที่มีไว้คลายเครียดหรือแก้เหงาเหมือนตุ๊กตาบลายธ์ที่เคยเป็นกระแสไปก่อนหน้านี้หลายปี แต่มันคือการเปลี่ยนสิ่งน่ากลัวให้ดูน่ารักขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อผลทางการตลาด

"อาตมามองว่ามันคือปัญหา เพราะการอ้างความเป็นของศักดิ์สิทธิ์หรือลี้ลับ มันเปิดโอกาสให้คนเป็นมิจฉาชีพ หลอกลวงคนอื่น เราอย่าลืมว่าคนไทยพร้อมที่จะจ่ายอะไรให้กับของพวกนี้อยู่แล้ว ขอแค่มันเป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภ เงินทอง เท่าไหร่ก็จ่ายได้"

สังคมไทยมีการผสมผสานระหว่าง พราหมณ์ พุทธ ผี แบบแทบจะแยกจากกันไม่ออก ในกรณีของตุ๊กตาลูกเทพก็เช่นกัน มีทั้งความเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้ครอบครอง มีทั้งการปลุกเสกหรือสวดมนต์เพื่อเพิ่มบารมีให้กับตุ๊กตา ซึ่งคนที่ทำพิธีกรรมให้ก็มีทั้งพระสงฆ์และผู้ที่ตั้งตัวเป็นกูรูด้านคุณไสย

"นั่นแหละมันคือ กลอุบาย คือความหัวหมอของคนขาย คุณไม่ตลกหรอ ที่เมืองไทยมาจนถึงขั้นที่ว่าจะกราบไหว้ขอพรตุ๊กตากันแล้ว แต่อาตมาเชื่อว่าคนไทยเห่ออะไรเป็นพักพัก พอเบื่อแล้วลูกเทพก็จะมีสถานะอะไร ไม่ต่างจากตุ๊กตาที่เด็กไม่เล่นแล้ว"

หลวงพี่ไพรวัลย์ กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า อยากให้คนพุทธเราใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต ใช้ชีวิตอย่างพุทธะ คือตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา อย่าใช้ชีวิตแบบไสย คือครึ่งหลับครึ่งตื่น หากมารู้ที่หลังก็จะยิ่งเจ็บใจตัวเอง
เพราะต้องมาเสียทั้งทรัพย์เสียทั้งเวลาให้กับเรื่องไร้สาระ ทั้งยังกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ และสุดท้ายนี้...ช่วยดึงสติกันหน่อยน่า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook