ทราย วรรณพร จากนักแสดงกลายเป็นศิลปินด้านศิลปะ

ทราย วรรณพร จากนักแสดงกลายเป็นศิลปินด้านศิลปะ

ทราย วรรณพร จากนักแสดงกลายเป็นศิลปินด้านศิลปะ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากบทบาทในอาชีพดารานักแสดง อาชีพที่มี รูปร่าง หน้าตา เป็นในเบิกทางแรก วันนี้ ทราย วรรณพร ฉิมบรรจง เลือกเดินอีกเส้นทางของความเป็น ศิลปิน ด้วยการทำงาน ศิลปะร่วมสมัย นอกจากจะนำเสนอ ความงาม ความหมาย และ ความคิด งานศิลปะของเธอยังหวังจะถ่ายทอดเรื่องราวการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมของผู้หญิงในบางมุมโลกโดยอาศัยร่างกายเป็นอาวุธ 

แต่สาเหตุที่เป็นหัวใจหลักๆ ที่สาว ทราย วรรณพร เลือกที่จะหันหลังให้เส้นทางนักแสดงผันตัวมาเป็นศิลปินด้านศิลปะแบบเต็มตัวนั้นเป็นเพราะอะไร ทีมข่าว Sanook! News! มีคำตอบมาเฉลย

จุดเริ่มต้น "ทราย วรรณพร" กับวงการบันเทิง

"ตอนเด็กๆ แม่ชอบให้ทรายไปประกวดตามเวทีต่างๆ จนได้ตำแหน่งมิสทีนไทยแลนด์ปี 2539 เลยได้มาเล่นหนังเล่นละครกับช่อง 7 แต่ชีวิตส่วนตัวของทรายไม่ค่อยโอเคเพราะทรายไม่ค่อยรักษาภาพลักษณ์เท่าไหร่ (หัวเราะ)

คือเป็นคนมีความเป็นตัวเองสูงมาก ไม่ชอบเป็นรองใคร ใครสั่งให้ทำอะไรจะรู้สึกทรมาน ไม่ยอมทำตามง่ายๆ เลยมีเรื่องต่างๆ ออกมากมาย สร้างความเสื่อมเสียให้ตัวเองบริษัทและครอบครัว"

ความทรงจำกับเพื่อนสนิทในวงการ

"ส่วนเพื่อนในวงการที่สนิทตอนนั้นก็คือ อั้ม (พัชราภา ไชยเชื้อ) เราเคยเล่นละครด้วยกันเรื่องแม่นาค สนิทกันจากเรื่องนั้น คือเข้าวงการมาไล่ๆ กัน เป็นดาราร่วมยุคสมัยมีงานถ่ายแบบด้วยกัน ช่วงนั้นค่อนข้างสนิทกันแต่ทุกวันนี้ขาดการติดต่อกับเพื่อนหลายๆ คนไปเลยค่ะ"

บทเรียนจากความผิดพลาด

"ทรายรู้สึกว่าการเป็นดารา ไม่ใช่วิถีของเรา ตอนเล่นละครเรื่องสุดท้าย กระต่ายหลงจันทร์ ร้องไห้กลับบ้านทุกวัน เพราะมันไม่ไหวแล้ว มันหมดใจแล้ว คนรอบข้างพยายามบอกว่าอย่าคิดมากเพิ่งอายุ 20 กว่าๆ ยังทำงานได้นาน

แต่ทรายก็ตัดสินใจเลิกทำงานตรงนี้ตอนอายุ 25-26 ปี แม้ทุกคนจะบอกว่ายังทำได้ แต่เราไม่ไหวแล้ว บางคนอาจคิดว่าที่ทรายหายไปเพราะมีข่าวไม่ดี ทำให้ต้องเลิกทำงาน จริงๆ ไม่ใช่

เรารู้ตัวว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นดารา และเรารู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้ว ถ้าตัดสินใจเลือกทางเดินของตัวเองช้ากว่านี้ มันก็จะสายเกินไปเป็น ที่รู้กันในยุคนั้น ว่าทรายเป็นคนที่ชอบเที่ยว มีแต่ข่าวเสียๆ หายๆ

คือตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลยนะ แค่อยากทำอะไรก็ทำอยากเที่ยวก็ไป ทำงานหนัก ได้เพื่อนกลุ่มใหม่ และเป็นคนนิสัยชอบเที่ยว ใครชวนไปไหนก็ไป คิดว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

พอมีข่าวก็รู้สึกเจ็บปวดนะ แต่เราก็ผ่านมันมาได้ได้เข้าใจตัวเอง เข้าใจสังคมมากขึ้น ว่าเค้ามีสิทธิ์ที่จะคิด ที่จะมองไปในแง่ไม่ดี เราก็แค่ยอมรับความจริง เรื่องราวในอดีตให้บทเรียนกับทรายมากทำให้ทรายรู้ว่าการทำงานในวงการมันมีกฎเกณฑ์ของมัน

แต่ตอนนั้นทรายพยายามที่จะเป็นตัวเอง มากเกินไป มันเลยทำให้ทรายอยู่ในวงการต่อไปไม่ได้หลังจากเลิกเล่นละคร รู้สึกชีวิตดีขึ้นมาก มีอย่างเดียวที่ทุกคนชอบถามคือ ทำงานตรงนี้มีชื่อเสียง ทำแป๊บเดียวก็ได้เงินเยอะ ใครๆ ก็อยากทำ แต่มาเขียนรูปขายเมื่อไหร่จะขายได้

ขอบอกว่าทรายอยู่ได้ ตอนที่จะเลิกก็บอกแม่ว่าไม่ไหวแล้ว แม่ก็ไม่ห้าม เพราะที่บ้านเลี้ยงมาแบบฟรีสไตล์ ทรายคุยกับแม่และเพื่อนๆ ตลอดว่า ชีวิตวัยเด็กเราหายไปต้องทำงานตั้งแต่เด็กในชีวิต มีเพื่อนแค่ 5 คนเพื่อนมหา'ลัยถึงมีก็ไม่สนิทมาก เพราะเราทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย"

ชีวิตปัจจุบันกับศิลปินด้านศิลปะ

"ตอนนี้งานหลักคือเขียนรูปทำศิลปะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทรายเริ่มสนใจงานศิลปะตั้งแต่สมัยทำงานในวงการแล้วเพราะเรียนนาฏศิลป์มาก่อนเลยมีโอกาสแสดงผลงานศิลปะร่วมกับศิลปินท่านอื่นๆ ตั้งแต่สมัยเป็นนักแสดงเริ่มมีคนมาเชิญไปเป็นพิธีกรงานการกุศลต่างๆ ที่เกี่ยวกับศิลปะทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากกว่า

เราชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็กๆ พี่ชายก็เรียนช่างศิลป์แต่เราไปเรียนนาฎศิลป์ พอมาเป็นดาราเป็นนักแสดงเนอะก็จะมีรายการ ไปถ่ายเราว่ากิจกรรมพิเศษทำอะไรก็คือวาดรูป คนก็จะรู้ว่าคนนี้เป็นดาราวาดรูปจนกระทั่งมีคนเห็นว่าเราเขียนรูปได้ก็จะมีคนชวนไปแสดงงาน เป็นศิลปินรับเชิญ ตั้งแต่ตอนยังเป็นนักแสดงอยู่ โชว์งานศิลปะครั้งแรกที่เสถียรธรรมสถาน

ตอนนั้นเขาจะจัดงานอนุสาวรีย์แห่งความดีงามของแม่เป็นงานกลุ่มมีศิลปินรุ่นใหญ่ทั้งนั้นเลย เขาก็อยากให้มีศิลปินผู้หญิงบ้าง ก็ตื่นเต้นมากเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้แสดงงานแล้วก็ขายได้ด้วย จากนั้นมาก็มีงานโชว์เป็นกลุ่มเรื่อยๆหลายงานอยู่

จนมารู้จักพี่วสันต์ (วสันต์ สิทธิเขตต์ ศิลปินนักเคลื่อนไหว) จากนั้นเราก็จะไปช่วยงานการกุศลต่างๆ ไปเป็นพิธีกรประมูลงานศิลปะซะส่วนใหญ่ในช่วงนั้น เพราะเราพอจะรู้จักคนในแวดวงศิลปะและพูดได้

จากนั้นก็เข้ากลุ่มกับกลุ่มพี่วสันต์ไปเขียนแลนด์สเคปตามจังหวัดต่างๆ ที่จะมีโรงไฟฟ้ามาสร้างที่ที่จะมีการประท้วงต่างๆ เราก็ไปหลายจังหวัด ไปเขียนแลนด์สเคปแล้วก็โชว์ตามตลาด โรงเรียน วัด ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเขื่อน โรงไฟฟ้าเรื่องสิ่งแวดล้อม แล้วก็มีไปปัตตานีเป็นเรื่องสันติภาพก็เขียนรูปไปเรื่อยๆ แสดงงานกลุ่มไป

พอมาถึงปี 2548 มีการประท้วงเรื่องคอรัปชั่นสมัยรัฐบาลทักษิณ ตอนนั้นยังไม่มีเวทีเสื้อสีไหนทั้งสิ้น กลุ่มศิลปินเราก็ไปทำงานกันเอง ไม่เกี่ยวกับสีไหน เขียนรูป เขียนป้าย เขียนใส่กระดาษเยอะแยะมากมายจากนั้นก็เริ่มมีความคิดว่าอยากมีนิทรรศการเดี่ยวที่แสดงงานของตัวเอง งานที่เป็นความคิดของเราเองทั้งหมด

จากจุดนั้นก็อยากจะเลิกไม่อยากแสดงละครอีกต่อไปเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางเรา เราไม่เหมาะที่จะเป็นดาราเพราะไม่เคยรักษาภาพลักษณ์อะไรทั้งสิ้น (หัวเราะ) ซึ่งจะทำให้บริษัทที่เราทำงานด้วยค่อนข้างมีปัญหา เรารู้สึกว่าเราต้องการอีกอย่างนึง ก็เลยคิดว่าจะแสดงนิทรรศการเดียวค่ะ"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook