ต้องเร่งขจัดพิษร้ายจาก "ไขมันทรานส์"

ต้องเร่งขจัดพิษร้ายจาก "ไขมันทรานส์"

ต้องเร่งขจัดพิษร้ายจาก "ไขมันทรานส์"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เป็นกระแสในสื่อมานานระยะหนึ่งแล้ว เกี่ยวกับอันตรายของ ไขมันทรานส์ จนกระทั้งสหรัฐอเมริกาโดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าmจะทำการยกเลิกห้ามใช้ไขมันทรานส์ทุกชนิดในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2561 หรือประมาณอีก 3 ปีข้างหน้า

เนื่องจากมีการวิจัยแล้วพบว่า การบริโภคอาหารที่มีกรดไขมันทรานส์มากๆ จะเป็นส่งเสริมการทำงานของเอนไซม์ Cholesterol Acyltranferase ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในการเมตาบอลิซึมของคอเลสเตอรอล ทำให้ระดับ LDL (Low Density Lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือดเพิ่มขึ้น

และลดระดับ HDL (High Density Lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดีในเลือด และเนื่องจากไขมันทรานส์เป็นไขมันที่เกิดจากการแปรรูป ซึ่งย่อยสลายได้ยากกว่าไขมันชนิดอื่น ทำให้ตับต้องสลายไขมันทรานส์ด้วยวิธีการที่แตกต่างไปจากการย่อยสลายไขมันตัวอื่น จึงอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ผิดปกติกับร่างกาย คือ

น้ำหนักและไขมันส่วนเกินเพิ่มมากขึ้น มีภาวะการทำงานของตับที่ผิดปกติ มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (อังกฤษ: Coronary Heart Disease) โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด

แล้วไขมันทรานส์ คืออะไร..?

ไขมันทรานส์ เป็นกรดไขมันที่เกิดจากกระบวนการแปรรูปกรดไขมันไม่อิ่มตัวให้กลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัวสูง ตัวอย่างเช่น การทำน้ำมันพืช จะมีการเติมไฮโดรเจนลงไปในน้ำมันพืช เรียกว่า กระบวนการไฮโดรจีเนชั่น (Hy drogenat ion) เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง หรือแม้กระทั่งการแปรรูปให้มีลักษณะเป็นกึ่งของแข็ง เช่น มาร์การีนหรือเนยเทียม เนยขาว ครีมเทียม เป็นต้น โดยวัตถุดิบเหล่านี้จะมีชื่อบนฉลากอาหาร คือ กรดไขมันชนิดทรานส์ หรือ Hydrogenated Oil หรือ Partially Hydrogenated Oil

เหตุที่มีการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ ก็เนื่องจากไขมันทรานส์สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืน ไม่เป็นไข ทนความร้อนได้สูง และมีรสชาติใกล้เคียงกับไขมันจากสัตว์ แต่จะมีราคาที่ถูกกว่า

การประกาศของสหรัฐฯ ครั้งนี้ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมอาหารส่งออกของไทย ต้องเร่งปรับตัวสำหรับอาหารที่จะส่งออกไปยังสหรัฐในอีก 3 ปีข้างหน้า และเชื่อว่าไม่นานภูมิภาคสำคัญของโลกอย่างเช่นยุโรปก็น่าจะมีมาตรการเช่นเดียวกับสหรัฐฯ เพื่อปกป้องคุ้มครองประชากรของตนในการรับสารที่เป็นอันตรายดังกล่าว

ทั้งนี้ทั้งนั้น เชื่อว่าในส่วนของอุตสาหกรรมอาหารส่งออกคงจะปรับตัวไม่ยาก เพื่อไม่ผิดระเบียบข้อห้ามเกี่ยวกับอาหารที่ทำลายสุขภาพ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกไปยังประเทศเหล่านั้น

แต่ คำถามที่สำคัญก็คือ....แล้วประเทศไทย หน่วยงานด้านสุขภาพ ด้านการคุ้มครองบริโภคของไทย จะมีแนวทางที่ชัดเจนต่อเรื่องดังกล่าวอย่างไร....

ในเมื่อเป็นที่ทราบแน่ชัดถึงปัญหา อันตรายของไขมันทรานส์ต่อสุขภาพผู้บริโภคขนาดนี้แล้ว ท่าทีขององค์กรด้านสุขภาพ ด้านคุ้มครองผู้บริโภค หรือ รัฐบาลไทยจะมีท่าทีอย่างไรต่อเรื่องดังกล่าว

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาครัฐยังจะเมินเฉย ปล่อยให้มีสินค้าที่มีไขมันทรานส์ที่ทำลายสุขภาพของคนไทยดำรงอยู่หรือไม่...? หรือ ต้องออกมาแสดงความชัดเจนต่อการป้องกันสุขภาพของคนไทยโดยเร็วหรือไม่...?

แน่นอนว่าในการป้องกันปัญหา การห้ามใช้ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ ...เพราะไขมันทรานส์ เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร แม้แต่สหรัฐเองยังต้องกำหนดระยะเวลาในการปรับตัวของอุตสาหกรรมอาหารในการปรับเปลี่ยนการใช้วัตถุดิบในการประกอบอาหาร ไม่ให้มีไขมันทรานส์ผสม ซึ่งจะเป็นการทำลายสุขภาพของพลเมืองของเขา

ดังนั้น รัฐบาลไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ควรลังเล ต้องออกมาแสดงความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวว่า จะให้เวลาในการปรับตัวเพื่อไม่ให้ใช้ไขมันทรานส์ที่ทำลายสุขภาพของคนไทยต่อไป กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนเช่นเดียวกับประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐเสียแต่เนิ่นๆ

และต้องให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับไขมันทรานส์ว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างไร ไขมันเหล่านั้นอยู่ในวัตถุดิบอะไรบ้าง...เพื่อให้ประชาชนตระหนัก และหลีกเลี่ยงการใช้โดยตรง

ในเรื่องของการป้องกันผลอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งดำเนินการ อย่าได้เกรงใจผู้ประกอบการใดๆ เพราะสังคมจะยั่งยืน พลเมืองต้องมีสุขอนามัยที่แข็งแรง การให้ระยะเวลาปรับตัว การให้คำแนะนำว่าควรใช้ ควรบริโภคไขมันที่นำมาประกอบอาหารอย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการโดยทันที ....ไม่อาจรอช้า...

...เปลวไฟน้อย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook