บรรจง นะแสโพสต์ความในใจหลังเฟชบุ๊กถูกปิดบ่อย

บรรจง นะแสโพสต์ความในใจหลังเฟชบุ๊กถูกปิดบ่อย

บรรจง นะแสโพสต์ความในใจหลังเฟชบุ๊กถูกปิดบ่อย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย 'บรรจง นะแส' โพสต์ความในใจ หลังเฟสบุ๊กถูกปิดบ่อยครั้ง

นายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย โพสต์เฟสบุ๊กเผยความในใจ ถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปิดเฟสบุ๊กของเขาและกลุ่มผู้ทำการประมงผิดกฎหมายรวมถึงกลุ่มทุนที่มีอิทธิพลเหนือรัฐเหนือตลาดพร้อมกับสื่อสารถึงผู้รักษ์ทะเลทุกคน

จากกรณีที่เฟสบุ๊กส่วนตัวของนายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทยถูกปิดบ่อยครั้ง หลังจากที่เขาใช้เฟสบุ๊กเป็นที่เปิดเผยข้อมูลของทะเลไทยที่ถูกคุกคามทำลายล้างด้วยการทำประมงที่ผิดกฏหมาย การทำธุรกิจรับซื้อปลาตัวเล็กตัวน้อยไปทำปลาป่น เพื่อผสมเป็นอาหารสัตว์ และสื่อสารถึงกิจกรรมการอนุรักษ์ รักษาทะเลไทย การโพสต์การสื่อสารความในใจครั้งนี้ นายบรรจงกล่าวว่า "ไม่ใช่ผมสยบยอม หรือยอมแพ้ หรือท้ารบ แต่ผมต้องการสื่อสารกับคนในแวดวงธุรกิจประมง และบริษัททุนที่มีกลไกเหนือตลาดเหนือรัฐ เพื่อให้พวกเขาเข้าใจสภาพความเป็นไปของทะเลไทยในปัจจุบัน และคำนึงถึงคนที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกันกับเขา และบางคนเป็นลูกค้าของเขา ที่สำคัญผมกำลังสื่อสารกับคนที่รักษ์ทะเล ให้เขาเข้าใจและร่วมกันอนุรักษ์ทะเล และทรัพยากรทางทะเล"

เป็นที่น่าสังเกตุหลังจากนายบรรจง โพสต์เผยแพร่ความในใจครั้งนี้ผ่านเฟสบุ๊กของกลุ่มเครือข่ายของเขาต่อสาธารณะแล้ว เฟสบุ๊กของเขาก็กลับมาใช้ได้ดังเดิม

--------------------------------------------------

ฉบับเต็ม

ความในใจ ของบรรจง นะแส ...ต่อการที่ถูกปิดเฟสบุ๊ก อยู่บ่อยครั้ง
....หาใช่การประกาศสยบยอม...หาใช่การท้าทาย แต่เป็นการสื่อสารถึงทุกผู้คนที่รักษ์ทะเล...

ผมตระหนักดีว่าพี่น้องที่ทำการประมงด้วยเครื่องมืออวนลาก อวนรุนและเรือปั่นไฟโกรธและเกลียดผมมากถึงมากที่สุด ทั้งที่แสดงออกมาให้รับรู้อย่างตรงไปตรงมาและที่ฝากด่าผ่านมาให้รับรู้จากช่องทางอื่นๆ ผมเข้าใจหัวอกของคนที่ทำอาชีพนี้มายาวนานโดยเฉพาะที่ทำเลี้ยงครอบครัวที่มีเรือกันครอบครัวละ 1 ลำ ผมแคร์มากๆ แต่ชนิดมีกันคนละ 5 ลำ 10 ลำ (บางคนมีกว่า50ลำ) นี่ผมรู้สึกเฉยๆ

ประเด็นของผมก็คือทะเลไทยวิกฤติสุดๆ แล้วจริงๆ ท่านสามารถมองเห็นด้วยตาว่าพันธุ์สัตว์น้ำที่จับด้วยเครื่องมือ 3 ชนิดนั้น ทำร้ายทำลายอย่างไร ผมคิดว่าถึงเวลาที่เราจะต้องรีบฟื้นฟูทะเลให้กลับมาเป็นแหล่งอาหารเป็นแหล่งประกอบอาชีพที่ยั่งยืนและมั่นคงให้กับคนส่วนใหญ่ ซึ่งผมก็รู้ว่าย่อมกระทบกับหลายๆ ครอบครัวและพวกท่านก็ย่อมโกรธเกลียดผมเป็นธรรมดา ไม่เป็นไรครับผมรับได้ เพราะผมเชื่อว่าสักวันท่านก็จะพบว่าหากทะเลไทยปราศจากเครื่องมือทำลายล้างที่รุนแรงเช่นที่เป็นอยู่ ลูกหลานของท่านและพวกเราทุกๆ คนก็จะได้มีอาหารจากทะเลไทยอย่างอุดมสมบูรณ์แน่นอน....ผมมั่นใจ....

ทำไมผมถึงเชื่อมั่นในทะเลไทย...30 กว่าปีที่ผมทำงานกับพี่น้องชุมชนประมงชายฝั่งกว่า 15 จังหวัด ได้พบเห็นวิถีชีวิตของชุมชนที่ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เมื่ออาชีพประมงชายฝั่งไม่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ บ้างก็ไปใช้แรงงาน ไปขี่มอเตอร์ไซด์รับจ้าง ไปหางานทำต่างประเทศ..สุดท้ายก็ไปไม่รอดแล้วหันกลับมากอบกู้ทะเลโดยเริ่มจากทะเลหน้าบ้าน ทั้งลุกกันขึ้นมาไล่เครื่องมือทำลายล้างอย่างเรือคราดหอย อวนรุน อวนลาก ทำกิจกรรมอนุรักษ์และฟื้นฟูสัตว์น้ำต่างๆ ไม่ว่าปลูกป่าชายเลน ทำบ้านปลา ธนาคารปู จนความสมบูรณ์ของทะเลกลับมา ฟังดูเหมือนง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงในพื้นที่ชาวบ้านต้องเอาชีวิตเข้าแลกเช่นที่ป่าครอกภูเก็ตผู้นำถูกยิงเสียชีวิต เรือเฝ้าฝั่งชื่อยูงทองที่เกาะยาวน้อยพังงาถูกเผา ที่ปานาเระยิงกันกลางทะเล ที่พังงาขนาดข้าราชการจังหวัด ลงไปไล่อวนรุนยังถูกถล่มยิงหนีกระเจิง ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ แกนนำถูกรุมกระทืบที่แพปลาเกือบเอาชีวิตไม่รอด สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้คือการพยายามลุกขึ้นสู้เพือฟื้นฟูทะเลเต็มไปด้วยความลำบากยากเย็น วันนี้ทะเลหลายๆ พื้นที่ความอุดมสมบูรณ์ของทะเลกลับมา อาชีพชาวประมงอยู่ได้ ผู้บริโภคเข้าถึงอาหารทะเลสดๆ มากขึ้น...ผมจึงเชื่อมั่นในแนวทางอนุรักษ์ทะเลของเรา

ผมคิดว่าผมไม่ได้ทำงานด้วยอารมณ์ (แม้หลายๆ ครั้งเพื่อนๆ ที่สนิทจะบอกว่ามึงปากร้าย/ปากหมาชอบใช้ภาษาแรงๆ ด่าคน ซึ่งผมก็ยอมรับว่าบางทีผมโมโห) ผมทำการบ้านหนักกว่าตอนเรียนหนังสือด้วยซ้ำ ติดตามเรื่องราวของทะเลตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน และยิ่งอ่านศึกษายิ่งค้นคว้า ยิ่งพิสูจน์ยิ่งพบยิ่งตระหนัก...ว่าถ้าไม่รีบแก้ไขลูกหลานและสังคมโดยรวมของเราจะเจอปัญหาอย่างหนัก เรื่องการขาดแคลนอาหารโปรตีนที่จะได้จากทะเลจากธรรมชาติ เอาล่ะผมอาจจะปากหมาระรานไปบ้างต้องกราบขอโทษ เพียงแต่อยากบอกว่าผมทำการบ้านผมศึกษาอย่างรอบด้านทำให้รู้และพบว่าทะเลไทยของเรากำลังวิกฤติจริงๆ ครับ ไม่ว่าในระดับชุมชน ในระดับชาติหรือในระดับสากล ถ้าเราไม่รีบลงมือแก้ไขเสียแต่วันนี้ เราจะเจอศึกหลายด้านและจะกระทบเป็นลูกโซ่ เอาอย่างง่ายๆ ที่เห็นกันในเชิงประจักษ์อยู่ขณะนี้แค่กรณีมาตรการ "iuu fishing" เราก็เป๋ไปเป๋มาแล้วครับ

สุดท้าย...ผมพบว่าวิกฤติของทะเลไทยที่แก้ไขยากสาเหตุหนึ่งที่สำคัญเพราะไปเชื่อมโยงกับธุรกิจอาหารสัตว์ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี ที่ต้องยอมรับว่าเขามีอำนาจอิทธิพลเหนือตลาดเหนือการเมืองและระบบราชการไทยมายาวนาน การหยุดวิกฤติของทะเลจึงยากเย็นแสนเข็ญ การปะทะกับซีพีหลายๆ คนบอกว่าก็เหมือนวิ่งเอาหัวชนกำแพง มีแต่ทำให้หัวแตกคอหักตายในที่สุด

แต่ผมไม่เชื่อเช่นนั้น ผมเชื่อในความเป็นมนุษย์ของคน ไม่ว่าเขาจะเป็นเจ้าของซีพีหรือลูกจ้าง ผมเชื่อในพลังของการเปลี่ยนแปลงที่...ทำให้ทุกๆ คนได้ตระหนักต่อปัญหา และการจะทำให้ทุกคนตระหนักได้ ต้องใช้ "ข้อมูล" เพราะข้อมูลคือเครื่องมือที่สำคัญ ที่ผ่านมาผมอาจจะละเมิดซีพีในแง่ใช้ภาษาแรงๆ และนำภาพประกอบข้อมูลเพื่อให้เห็นภาพและเข้าใจง่ายขึ้น อาจจะไม่ถูกต้องในสายตาของซีพีนัก แต่ผมก็คิดวิธีการอื่นไม่ออก ผลที่เกิดขึ้นตามา ก็คือซีพีมีคนที่มีคุณภาพเยอะ ฝ่ายพีอาร์ฝีมือเยี่ยม ทำงานเชิงรุกเป็นเลิศ แต่กรณีปลาป่นจากเรืออวนลากซีพีต้องลงมือทำไม่ใช่แค่พีอาร์บริษัท แผนงานตามโรดแมปของซีพีที่มานำเสนอมากล่อมผมสองสามครั้งที่ผ่านมา ผมสรุปว่าพวกเขาเพียงทำพีอาร์ให้ดูดี แต่ไม่ได้มุ่งแก้ไขปัญหาทะเลไทยจริงๆ

ข้อเสนอทางออกที่ผมเสนอคือให้ไปใช้  "by product" มาทำปลาป่นก็ถูกซีพีวางเฉย ผมก็เลยต้องทำงานด้านข้อมูลนำเสนอต่อสาธารณะชนไปเรื่อยๆ จนกว่าซีพีจะถูกล้อมกรอบด้วยผู้คนที่เห็นปัญหาหรือคนของซีพีจะรู้สึกสำนึกผิด ซึ่งผมเชื่อว่า ความรู้สึกนี้ยังมีอยู่ในจิตใจของทุกๆ คน  และแน่นอนอีกเช่นกัน ที่จะมีคน มีนักการเมือง, มีข้าราชการที่ฉ้อฉลอยู่อีกมาก ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันในการเอาทะเลไทยไปป็นผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม แต่ผมเชื่อว่าจะต้องมีสักวันที่คนเหล่านั้นจะสำนึกได้และหยุดทำร้ายทะเล "ผมแค่เอาเท้ากระทืบกำแพงครับไม่ได้เอาหัวไปชน"... แต่ก็กระทืบจนเท้าบวมปวดเมื่อยไปหมดเหมือนกัน

..............................................................................................................


แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook