เฟิร์น พัสกร ลูกตลกกับชีวิตที่ (ไม่) ตลก

เฟิร์น พัสกร ลูกตลกกับชีวิตที่ (ไม่) ตลก

เฟิร์น พัสกร ลูกตลกกับชีวิตที่ (ไม่) ตลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อีกหนึ่งลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น สำหรับสาว เฟิร์น พัสกร พลสมบูรณ์ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตลกแถวหน้าประเทศไทยอย่าง จตุรงค์ ม๊กจ๊ก ที่นับวันจะสวยสดใสน่ารักกับวัยที่โตเป็นสาวเต็มตัวแล้วนั้นบวกบุคลิกที่เป็นสาวฮาสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนทั่วไปจึงไม่แปลกที่เฟิร์นจะถูกจดจำภาพเป็น "ผู้หญิงตลก" ซึ่งสังเกตได้จากบทบาทการแสดงก็จะได้รับก็เป็นไปในทางสายฮาซะส่วนใหญ่ แต่ในทางตรงกันข้ามเธอเองได้เปิดใจกับทีมข่าว Sanook! News ไว้น่าสนใจกับเรื่องราวการ "เป็นลูกตลก แต่ชีวิต (ไม่) ตลก" ที่สังคมภายนอกมักคาดหวังว่าเธอนั้นจะต้องเป็นตลกเหมือนพ่อแต่ในความเป็นจริงนั้นเธอบอกว่าชีวิตของเธอกลับสวนทางและบางครั้งก็ไม่ได้ตลกแม้จะเป็นลูกตลกก็ตาม

ไม่ตลกบนคำว่า "พ่อใช้เส้นเข้าสู่วงการ"

ปฏิเสธไม่ได้สำหรับวงการบันเทิงที่มักจะคุ้นเคยกันดีหากรุ่นพ่อรุ่นแม่เข้ามาโลดแล่นจนมีชื่อเสียงและเมื่อมีทายาทเดินตามรอยเข้ามาก็มักจะถูกมองเสมอว่าคือการใช้เส้นเป็นใบเบิกทางซึ่งสาวเฟิร์นนั้นก็หนีไม่พ้นกับคำครหานี้เมื่อเธอเลือกเดินเข้ามาในวงการบันเทิง

"จริงๆ ตอนแรกเขาก็ไม่อยากให้เฟิร์นเข้ามาในวงการแบบนี้มากมายด้วยซ้ำเพราะเขารู้สึกว่ามันไม่ได้ยั่งยืน เขาอยากให้เราตั้งใจเรียนตอนเด็กๆ เวลาเฟิร์นอยากเรียนเต้น เรียนอะไรที่มันเป็นกิจกรรมบ้าง เพราะมักจะพูดว่าไปเรียนเลขมั้ยลูก ไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มมั้ย ซึ่งการเรียนพอเราเข้ามาในวงการบันเทิงเราเรียนควบคู่มาอยู่แล้ว เพราะเฟิร์นจะเป็นคนที่ตั้งใจเรียนหนักมากพอสมควร แล้วมาถึงในจุดที่อยู่ในวงการบันเทิงการเรียนเราก็ไม่ได้ตกเขาก็เลยไม่ได้เป็นห่วงอะไรมาก ในเรื่องการซัพพอร์ตอยากให้เป็นโน่นนั่นนี่พ่อจะไม่เคยไปขอให้คนนั้นคนนี้เอาลูกฉันมาแต่พ่อไม่เคยทำไม่มีเส้น เพราะพ่อรู้สึกว่าพ่ออายที่จะทำ พ่อเขารู้สึกว่าเขาทำงานคนเดียวได้ไม่จำเป็นว่าลูกจะต้องมาทำงานแบบที่เขาทำ ลูกจะทำงานก็ให้คนอื่นเขาเห็น แล้วเขาจะเอาไปทำก็ไม่เป็นไรก็เรื่องเขา หรือจะไปทำงานในด้านอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับพ่อเลยก็ดี"

ลูกตลกที่พ่อไม่มีเวลาแต่ "ภาคภูมิใจ"

แม้ภาพภายนอกที่เห็นสองพ่อลูกตามรายการดูสนิทสนมผูกพันแต่ในวัยเด็กชีวิตของเธอนั้นค่อนข้างห่างเหินกับพ่อด้วยหน้าที่การงานที่ผู้เป็นพ่อต้องรับผิดชอบ แต่เธอนั้นก็ไม่ได้รู้สึกน้อยใจแต่กลับมองในมุมว่าพ่อคือฮีโร่และเป็นต้นแบบให้เธอได้เดินรอยตาม

"พ่อไม่ค่อยมีเวลาเพราะสมัยก่อนพ่อก็จะทำงานหนักมากพ่อจะทำงานตอนกลางคืน เสร็จจากกลางคืนตอนกลางวันพ่อก็จะกลับมานอน ส่วนเราก็ไปโรงเรียน ชีวิตส่วนใหญ่เฟิร์นก็จะอยู่กับแม่เป็นหลัก แล้วก็พ่อก็จะเป็นคนคอยส่งเสียเลี้ยงดูเพราะพ่อเป็นคนทำงานเอาเงินมาให้ คือจะไม่ค่อยได้คุยกับพ่อแต่แม่จะกลายเป็นคนที่เราคุยด้วยทุกเรื่องเลยเปิดใจเพราะแม่วัยรุ่น ผู้หญิงกับผู้หญิงจะคุยกันสนิทกว่า ส่วนพ่อเป็นคนทำงานเก่งค่ะ พ่อเป็นคนขยัน พ่อเป็นคนที่มีวินัยสูงมาก และก็เป็นคนมีความรับผิดชอบสูงมากเช่นกัน ซึ่งตรงนี้เฟิร์นยึดมาตามแบบที่พ่อทำมาตลอด ต้องเป็นคนมีวินัยเป็นคนไม่ไร้สาระ ต้องตั้งใจทำงาน นี่แหละคือสิ่งดีๆ ที่เฟิร์นได้มาจากพ่อ

เอาพ่อเป็นต้นแบบ และทำให้เฟิร์นมีทุกวันนี้ เราอาจจะไม่ได้มาจากพ่อเป็นคนผลักดันให้ไปทำโน่นทำนั้นทำนี้แต่เฟิร์นโตมาเฟิร์นก็เห็นพ่อทำงานการแสดงบนเวที และก็เห็นว่าเขาทำงานหนักมากมาตลอดๆ เพื่อที่จะเอาเงินมาเลี้ยงครอบครัวเราไม่ได้เป็นครอบครัวที่รวยคือตรงนี้แหละมันก็เลยเป็นสิ่งติดตัว และทำให้เราเป็นคนที่ไม่เหลวไหลค่ะ และอีกสิ่งหนึ่งคือความเป็นผู้นำของพ่อ ความรับผิดชอบต่างๆ และถึงแม้พ่อจะเป็นคนแบบใช้เงินเยอะ แอบเม้าท์ๆ (หัวเราะ) แต่เขาก็จัดการตัวเองได้ เขาก็จัดการทุกอย่างเป็น ไม่มีการขาดตกบกพร่องอะไร"

บทพิสูจน์หน้าที่ "ลูกที่ดี" เพื่อพ่อแม่

เพราะจากกการมีพ่อเป็นต้นแบบชีวิตโดยเฉพาะเรื่องการรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง ปัจจุบันสาวเฟิร์นก็ได้พิสูจน์ให้พ่อและแม่เห็นว่าถึงแม้จะเลือกเดินเข้าสู่วงการบันเทิง แต่เรื่องความรับผิดชอบในเรื่องการเรียนเธอก็ทำออกมาได้ดีเช่นกัน

"เฟิร์นจบบริหารค่ะ ป.โท คือจริงๆ แล้วเราก็เรียนให้พ่อแหละ ถามว่าปัจจุบันนี้เราทำงานหนักมากการศึกษาเกี่ยวกับปริญญาโทด้านการบริหารเราไม่รู้จะได้ใช้เมื่อไหร่ แต่ได้ใช้มันได้ใช้แน่ๆ ในเรื่องการบริหาร สมมติวันนึงเฟิร์นอยากทะลึ่งบ้องทำรายการขึ้นมาหรือเปิดบริษัทขึ้นมามันก็ได้ใช้ แต่ ณ ตอนนี้ พรุ่งนี้ มันยังไม่ได้ใช้ ใบปริญญาที่ได้มันเป็นเครื่องหมายที่บอกว่าเราเพียรพยายาม ทำงานด้วย เรียนด้วย เหนื่อยมาก หนักก็หนัก เรียกก็ยาก แต่เราทำ เพราะเราเห็นพ่อเราเป็นตัวอย่าง ว่าเขามีความพยายามมากแค่ไหน เฟิร์นเอาใบนี้ไปให้เขา แล้วเขาก็บ้าเห่อมากเขาพูดทุกวันเรื่องที่เฟิร์นจบปริญญาโท พูดหมดไปถ่ายรายการไปตลาด เขาก็จะพูดว่าลูกสาวเขาจบโทแล้วนะ มันไม่มาเดินตลาดหรอก เพราะจบโทแล้ว (หัวเราะ) ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจบโทแล้วทำไมถึงเดินตลาดไม่ได้ซึ่งเฟิร์นก็เดินประจำ พอคนถามลูกไม่มาหรอเขาก็จะบอกว่าไม่มาจบแล้ว คือเข้าใจว่าเขาคงเป็นฟิวอารมณ์เห่อๆ อยากอวดแหละ"

พ่อลูกสายฮาแต่การแสดงออก "ความรัก" ไม่ตลก

ดูภายนอกดูเป็นพ่อลูกตลกที่สนุกสนานเฮฮาไปออกรายการไหนสองพ่อลูกคู่นี้มักจะแสดงความรักให้ได้เห็นเสมอ แต่เมื่อกลับเข้าสู่บ้านกลับกลายเป็นว่าน้อยครั้งที่เขาจะแสดงออกเรื่องความรักซึ่งกันและกัน

"ไม่เลยค่ะ บ้านเราไม่ได้เป็นบ้านที่แบบรักกันที่พ่อขาหอมแก้มก่อนออกจากบ้าน แต่เราจะเป็นไปในแบบการทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดในทุกๆ ด้านคือการแสดงความรักในครอบครัวของเฟิร์น มันอาจจะดูแข็งกระด้างนะแต่เราก็รัก ก็มีบอกกันนะแต่ไม่ได้อิน เฟิร์นรู้รับรู้ว่าเขารู้ว่าเรารัก และเฟิร์นก็รู้ว่าเขารักเฟิร์น เฟิร์นใช้การทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุดแล้ว และมากกว่านี้เฟิร์นก็ทำได้นะเฟิร์นก็จะทำทุกวันให้มันดีที่สุด เฟิร์นรู้ตัวไงว่าเกิดมาแล้วมีหน้าพ่อติดมาด้วย เวลาเราจะไปทำไม่ดีอะไรมาคนก็จะว่า อ้าวลูกจตุรงค์ทำแบบนี้ ซึ่งเฟิร์นครองตัวมาโดยที่ไม่ทำให้คนว่าพ่อได้ ไม่ทำให้คนพูดว่าทำไมเป็นคนแบบนี้ไม่มี เราต้องทำทุกอย่างให้ดี รับผิดชอบไม่ทำอะไรให้เสียถึงพ่อเพราะเรารู้สึกว่าเราพกหน้าพ่อไปด้วย และมันก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดนะ

และไม่ได้รู้สึกว่าอกตัญญูอะไรนะ แต่เราอยากโตในแบบของเรา เราอยากมีชีวิตที่เราเลือกเอง บางที่เฟิร์นก็รู้สึกว่าสังคมชอบตีกรอบว่าเฟิร์นจะต้องเป็นตลก จะต้องเดินตามรอยพ่อ ซึ่งก็พูดตรงๆ ว่าเฟิร์นเคยแสดงแล้วด้วยว่าเราเล่นไม่ได้ ตลกไม่ได้ พยายามแล้วนะ แต่เฟิร์นก็จะทำงานในวงการในฐานะพิธีกร นักแสดง ในฐานะคนที่สร้างความสุขให้กับคนดูโดยที่ไม่ต้องมีใครมาตีกรอบว่าเราจะต้องเดินตามรอยพ่อนะ ซึ่งพ่อก็ไม่ต้องการให้เฟิร์นไปเดินตามรอยเขาตั้งแต่ต้น แต่ ณ ตอนนี้ เฟิร์นแฮปปี้นะ เพราะเฟิร์นรู้สึกว่าเฟิร์นแสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่า พ่อไม่ได้ปูทางมาให้เราแต่มันเป็นพ่อ 20 % แต่ตัวเรา 80% ในการที่อยู่ในวงการบันเทิง"

ลูกตลกแต่ "ชีวิต" ไม่ตลก

ด้วยบุคลิกและภาพลักษณ์จะเป็นคนตลกและอารมณ์ดีเลยทำให้เธอนั้นต้องแบกรับจนกลายเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอารมณ์ผู้คนที่คาดหวังกับผลงานรวมทั้งชีวิตส่วนตัวที่บางครั้งสาวเฟิร์นก็เหนื่อยในวันที่ชีวิตไม่ตลกแต่ต้องแสดงว่าตลกให้ทุกคนเห็นตลอดเวลา

"เป็นบ่อยเลย แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง มันทำไม่ได้เพราะคนภายนอกมันคาดหวังว่าเราจะต้องสนุกสนานต้องตลกที่เวลาเจอเขา บางทีเราก็ไม่ได้แฮปปี้ แต่ก็ต้องทำว่าแฮปปี้เพราะเรารับผิดชอบคำว่าเราเป็นคนในวงการบันเทิง เราต้องรับผิดชอบความคาดหวังเขา อารมณ์เขา แต่บางทีเฟิร์นก็อยากให้คนภายนอกเข้าใจด้วยเราก็เป็นคนๆ นึงที่ๆ ไม่ได้อารมณ์ดีทั้งวันทุกวัน มันต้องมีบางวันที่เฟล บางวันที่ดาวน์ แต่เฟิร์นก็จะพยายามรับผิดชอบทุกๆ คนที่เจอ ไม่ว่าวันนั้นจะแย่ เจออะไรที่ไม่ดีๆ มา แม้ถึงตัวเองจะเป็นคนขี้นอยส์ แต่ว่าถ้าใครเข้ามาขอถ่ายรูปเราก็ดีใจที่เขาเข้ามา เพราะเฟิร์นเคยมองดาราดังๆ ที่เฟิร์นชอบ เรายังอยากถ่ายรูปกับเขาเลย แล้วคนที่เขาเจอเรา เขาไม่ได้เจอเราทุกวันปีนึงบางทีเจอครั้งเดียว

เขาก็ต้องอยากมีรูปไว้ดูทั้งๆ ที่มือถือเม็มเต็มแล้วก็เหอะหรือมือถือเปิดไม่ได้บ้าง แต่ว่าเขาอยากถ่ายรูปกับเรา ไม่ว่าเราจะเครียดอยู่ แค่เสี้ยวนาทีที่เราถ่ายรูปกับเขาไม่ยาก แต่บางทีหน้าโทรมเราก็อายนะ (หัวเราะ) บางทีก็แซวๆ นะว่าถ่ายรูปพี่ไปเอาไปโชว์เพื่อนๆ น้องจำหน้าพี่ๆ ได้มั้ย แต่ก็พยายามถ่ายให้ บางโมเม้นท์มันก็เหนื่อยที่เราต้องแบกความเอ็นเตอร์เทนเอาไว้ สมมติวันนี้เฟิร์นไปเจอคนที่อารมณ์ไม่ดีใส่เรามา เราก็นอยส์ แล้วไปเจอคนที่เขาอยากถ่ายรูปกับเรามันก็จะต้องมีอารมณ์พยายามที่จะต้องบิ๊วให้โอเค แต่ว่าจริงๆ มันเป็นหน้าที่มันเป็นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ ดาราบางคนอาจจะมองว่าถ่ายรูปอีกล่ะ แต่สำหรับคนทั่วไปที่เขารักเราเนี่ยมันมีค่านะ"

นี่แหละใครว่าคนตลกไม่มีสาระแต่เท่าที่ฟังสาวเฟิร์นเล่าชีวิตเธอมาสาระล้วนๆ ที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับหลายๆ คนเลยทีเดียว

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ เฟิร์น พัสกร ลูกตลกกับชีวิตที่ (ไม่) ตลก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook