ธปท.ชี้เศรษฐกิจปี 53 ขาดดุลแฝด ไพฑูรย์ยันตัวเลขว่างงาน 2.5ล. คลังเล็งลดภาษีบ.ไม่โล๊ะคนงาน2เท่า

ธปท.ชี้เศรษฐกิจปี 53 ขาดดุลแฝด ไพฑูรย์ยันตัวเลขว่างงาน 2.5ล. คลังเล็งลดภาษีบ.ไม่โล๊ะคนงาน2เท่า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ธปท.ชี้ศก.ปี51โตแค่3.5% ปี50ขาดดุลเดินสะพัด6.3พันล. ปี53ถึงจะเจอขาดดุลแฝด ไพฑูรย์ ยันตัวเลขว่างงาน2.5ล. คลังเล็งลดภาษีช่วยบ.ขาดทุนหากไม่โล๊ะคนงานได้ลดหย่อน 2 เท่า ปชช.แห่เติมน้ำมันก่อน1ก.พ. ปตท. ชี้คนใช้น้ำมันสูงจนต้องนำเข้า ขสมก.-บ.ข.ส.ยังไม่ขึ้นค่าตั๋ว

ธปท.ชี้ศก.ปี51โตแค่3.5%

เมื่อวันที่ 30 มกราคม นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยเดือนธันวาคม 2551 หดตัว 3% เทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2551 เนื่องจากการบริโภค การส่งออกลดลง ส่วนไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 ธปท.คาดว่า มีโอกาสถึง 59% ที่จะหดตัว 0.5-2% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้เศรษฐกิจปี 2551 ขยายตัวระหว่าง 3-3.5% จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 3.6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อในเดือนธันวาคม 2551 อยู่ที่ 0.4% ชะลอลงจากเดือนพฤศจิกายน 2551 ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 1.8% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2551 อยู่ที่ 5.5% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2.4%

ปี50ขาดดุลเดินสะพัด6.3พันล.

ทั้งนี้ ธปท.รายงานว่า ในเดือนธันวาคม 2551 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หดตัวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ คือ 18.8% เทียบกับ 14.9% เดือนพฤศจิกายน โดยหดตัวในทุกหมวด ตั้งแต่อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ และเหล็ก เช่นเดียวกับอัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ที่ลดลงจาก 59.4% ในเดือนพฤศจิกายน มาอยู่ที่ 58.9% ในเดือนธันวาคม จากการผลิตเพื่อส่งออกที่ลดลง ส่งผลให้ในปี 2551 ผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัว 5.3% ชะลอลงจาก 8.2% ในปีก่อน ส่วนดัชนีการลงทุนเอกชนหดตัว 2.6% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปี 2550 ส่งผลให้ในปี 2551 ขยายตัว 2.9%

สำหรับดุลการค้าในเดือนธันวาคม 2551 เกินดุล 496 ล้านเหรียญ เมื่อรวมกับดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่ขาดดุล 405 ล้านเหรียญ จากการลดลงของรายรับจากการท่องเที่ยว และรายจ่ายจากการส่งกลับกำไร ตลอดจน เงินปันผลภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนธันวาคม 2551 เกินดุล 91 ล้านเหรียญ ทำให้ปี 2551 การค้าเกินดุล 237 ล้านเหรียญ ลดลงจากที่เกินดุล 11,572 ล้านเหรียญ ในปี 2550 ขณะที่การส่งออกขยายตัว 16.8% และการนำเข้าขยายตัว 26.4% อย่างไรก็ตาม การลดลงของรายรับด้านการท่องเที่ยว และการส่งกลับ กำไรและเงินปันผลภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2551 ขาดดุล 178 ล้านเหรียญ หรือ 6,320 ล้านบาท จากที่เกินดุลถึง 14,049 ล้านเหรียญ หรือ 492,000 ล้านบาท ในปีก่อนหน้า

แต่ยืนยันว่าเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี เพียงแต่จะต้องจับตาดูการว่างงานเป็นพิเศษ เนื่องจากเพราะเริ่มมีสัญญาณการจ้างงานที่ลดลงในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา นางอมรากล่าว

ปี53ถึงจะเจอขาดดุลแฝด

สำหรับแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2552 นางอมรากล่าวว่า มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะหดตัว 2% ซึ่งแย่กว่าช่วงเดียวกันปี 2551 ที่ขยายตัวถึง 6% อย่างไรก็ตาม ธปท.มองว่าการที่ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ควบคู่กับมาตรการการคลังของรัฐบาล น่าจะทำให้ไตรมาสแรกของปีนี้เศรษฐกิจไทยจะหดตัว 0.5% หรือมากที่สุดอาจจะหดตัวถึง 2%

ส่วนกรณีที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นห่วงว่าประเทศไทยอาจจะขาดดุลแฝด นางอมรากล่าวว่า เท่าที่ดูในปี 2551 ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยอยู่ในระดับสมดุล คือใกล้เคียงกับศูนย์ เนื่องจากดุลการค้าเกินดุลประมาณ 200 ล้านเหรียญ ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัด ขาดดุลประมาณ 200 ล้านเหรียญ จึงมีโอกาสที่ปี 2552 ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจะมีโอกาสเกินดุลหรือจะสมดุล แต่หากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 4 ปี 2552 จะทำให้ไทยมีการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ในปี 2553 มีโอกาสที่ดุลบัญชีเดินสะพัดจะติดลบได้ 1,000-1,500 ล้านเหรียญได้

ธปท.ยันบาทเอื้อส่งออกแล้ว

ส่วนกรณีที่ สศค.เสนอให้ ธปท.ใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนในการดูแลค่าเงินบาทให้สามารถแข่งขันได้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค นางอมรากล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้นิ่ง เพื่อเอื้อต่อผู้ประกอบการส่งออกและยืนยันว่า ธปท.จะต้องดูแลความผันผวนที่เกิดขึ้นไม่ให้ขัดกับปัจจัยพื้นฐาน ขณะเดียวกันก็จะต้องแข่งขันได้ด้วย

ไพฑูรย์ ยันตัวเลขว่างงาน2.5ล.

นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในงานสัมมนา เรื่อง ฝ่าวิกฤตคนทำงาน จัดโดยคณะอนุกรรมการสิทธิแรงงาน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ว่าในเดือนมกราคม พบว่ามีสถานประกอบการที่มีปัญหาในการดำเนินกิจการ ประมาณ 200-300 แห่ง ส่งผลให้มีการปลดคนงานอีกประมาณ 2 หมื่นคน ทำให้แนวโน้มการปลดคนงานจะยังคงเพิ่มขึ้น หลังจากเดือนธันวาคม 2551 มีการปลดคนงานไปแล้วกว่า 5 หมื่นคน จากสถานประกอบการกว่า 600 แห่ง โดยปีนี้คาดว่าจะมีคนงานถูกปลดเพิ่มสูงถึง 2.5 ล้านคน โดยรัฐบาลยืนยันเร่งผลักดันการใช้งบฯ 6,900 ล้านบาท เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ รวมทั้งยืนยันที่จะให้ลดสัดส่วนการส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคม

คลังเล็งลดภาษีช่วยบ.ขาดทุน

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษามาตรการที่จะช่วยเหลือด้านแรงงาน 5 มาตรการ ประกอบด้วย 1.มาตรการทางด้านภาษี เป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม โดยมีแนวคิดให้บริษัทที่ขาดทุนจากการดำเนินกิจการ มีแนวโน้มปิดกิจการและเลิกจ้างคนงาน แต่ยังไม่ล้ม และมาแจ้งกระทรวงแรงงานว่าบริษัทกำลับประสบปัญหา ซึ่งหากไม่เลิกจ้าง จะให้สามารถนำต้นทุนที่เป็นการจ่ายค่าจ้างแรงงานมาหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า 2.การจัดตั้งกองทุนดูแลแรงงานนอกระบบที่มีประมาณ 20 ล้านคน ให้ได้รับสวัสดิการ อาทิ คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง พ่อค้าแม่ค้าแผงลอย คนขับรถแท็กซี่ เป็นต้น 3.ผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นำงบฯค้างท่ออีกกว่า 1 แสนล้านบาท มาดำเนินโครงการที่เป็นการจ้างงาน ซึ่งรัฐบาลอาจจะช่วยจ่ายสมทบส่วนหนึ่งด้วย 4.ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐคิดโครงการเฉพาะด้านแรงงานขึ้น โดยเชื่อมโยงกับหลายๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น

5.จะผลักดันการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) ที่เสนอมาแล้วหลายรัฐบาลแต่ยังไม่ผ่าน เพราะกองทุนประกันสังคมจะเป็นภาระงบประมาณภาครัฐมากในอีก 20 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ สศค.จะเร่งศึกษาในรายละเอียด เพื่อเสนอให้นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง

คาดแห่เติมน้ำมันก่อน1ก.พ.

รายงานข่าวจากวงการค้าน้ำมันแจ้งว่า จากการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ปรับเพิ่มภาษีน้ำมันทุกประเภท เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่จะปรับขึ้นลิตรละ 1.55 บาทนั้น คาดว่าก่อนจะถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ จะมีประชาชนแห่ไปเติมน้ำมันจนำวนมาก ทำให้หลายปั๊มอาจขาดแคลนน้ำมัน เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันมีปัญหาการผลิต โดยโรงกลั่นน้ำมันสตาร์ปิโตรเลียมรีไฟนิ่ง ไม่สามารถเปิดกลั่นได้ตามแผน หลังจากปิดซ่อมครั้งใหญ่เมื่อเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2551 ขณะที่โรงกลั่นไทยออยล์เดินเครื่องได้ไม่เต็มที่ ขณะเดียวกัน ความต้องการใช้น้ำมันขยับสูงขึ้นเกินคาด เนื่องจากราคาน้ำมันลดลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการเดินทางท่องเที่ยวในเดือนธันวาคม 2551 และมกราคม 2552 สูงมาก ทำให้ ปตท.ต้องนำเข้าเบนซินเข้ามาจำหน่ายแล้ว ล่าสุด ความต้องการใช้น้ำมันเบนซินเพิ่มจาก 19 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 21 ล้านลิตร ส่วนดีเซลเพิ่มจาก 47 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 50 ล้านลิตรต่อวัน

ชี้คนใช้น้ำมันสูงจนต้องนำเข้า

นายวิทยา หวังจิตรารักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการตลาดค้าปลีก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.จะมีการสำรองน้ำมันเพิ่มเพื่อรองรับความต้องการช่วง 1-2 วันนี้ เพราะมีปัญหาเรื่องโรงกลั่นบางโรงปิดซ่อมแซมและเดินเครื่องล่าช้ากว่ากำหนด ขณะที่ยอดการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้นหลังจากราคาปรับตัวลดลงจน ปตท.ต้องนำเข้าเบนซินเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน โดยเดือนมกราคม นำเข้าประมาณ 10 ล้านลิตร และคาดว่าเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม จะต้องนำเข้าเพิ่มอีก 40 ล้านลิตร ส่วนดีเซลคาดว่าในเดือนกุมภาพันธ์ต้องเริ่มนำเข้าเช่นกัน โดยความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ ปตท.มียอดขายเบนซินเพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 10-11 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่ดีเซล ยอดขายเพิ่ม 5 ล้านลิตรต่อวัน เป็นประมาณ 20 ล้านลิตรต่อวัน

ปตท.พยายามจัดหาน้ำมันให้เพียงพอกับความต้องการมากที่สุด และต้องขออภัยที่ช่วง 1-2 วันนี้ ปั๊มบางแห่งอาจขาดแคลนนน้ำมัน โดยยืนยันไม่ใช่เพราะเก็งกำไร แต่น้ำมันในประเทศไม่เพียงพอจริงๆ นายวิทยากล่าว

แห่เติมน้ำมันก่อนขึ้นราคา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปั๊มน้ำมันหลายแห่งตามจังหวัดต่างๆ เช่น สงขลา นครราชสีมา ค่อนข้างคึกคัก มีประชาชนนำรถทุกชนิด พร้อมถังสำรองขนาดต่างๆ รอเติมน้ำมัน ก่อนที่จะขึ้นราคาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์

นางระเบียบ จิตเกื้อ ประธานชมรมผู้ค้าน้ำมันจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า เชื่อว่าวันนี้ (30 ม.ค.) และพรุ่งนี้ (1 ก.พ.) จะมีประชาชนแห่มาเติมน้ำมันอย่างคึกคัก เพื่อประหยัดเงินในกระเป๋า ซึ่งผู้ค้าเองจะเติมน้ำมันให้จนกว่าจะหมดถัง ไม่มีการสต๊อคไว้อย่างแน่นอน เพราะแม้มีสต๊อคน้ำมันก็จะมีเจ้าหน้าที่กรมพลังงานจะออกตรวจสต๊อคน้ำมันของปั๊มน้ำมันทุกแห่ง และผู้ค้าต้องจ่ายเงินส่วนต่างน้ำมันคืนให้กรมพลังงาน

นางรัตนา รัศมีมงคล ผู้จัดการสถานีบริการน้ำมัน บางจาก ถนนศืบสิริ ต.หนองไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครราชสีมา กล่าวว่า ประชาชนนำรถมาเติ่มน้ำมันตั้งแต่ช่วงเช้า บางรายนำแกลอนมาเติมน้ำมันเพื่อกักตุนไว้ใช้ด้วย จึงกำหนดให้ประชาชนนำแกลอนมาเติมได้เพียงคนละไม่เกิน 20 ลิตร เพื่อสำรองน้ำมันให้ผู้ใช้รถรายอื่น

ขสมก.-บ.ข.ส.ยังไม่ขึ้นค่าตั๋ว

นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง กล่าวว่า คณะกรรมการจะยังไม่พิจารณาปรับขึ้นค่าโดยสารของรถโดยสารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) รถร่วม ขสมก. รถโดยสารบริษัท ขนส่ง จำกัด (บ.ข.ส.) และรถร่วม บ.ข.ส.ในขณะนี้แม้ว่ากระทรวงพลังงานจะอนุมัติปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลอีกลิตรละ 1.55 บาท ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ เนื่องจากที่ผ่านมาคณะกรรมการได้พิจารณาอัตราค่าโดยสารจากราคาน้ำมันที่ลิตรละ 23 บาท หากราคาน้ำมันยังไม่ปรับขึ้นถึงลิตรละ 26-27 บาท ก็จะยังไม่พิจารณาปรับขึ้นค่าโดยสาร สำหรับราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 18.34 บาท

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook