สังคมไทยไปไกลเกินกว่า จะมีใครมาปิดประเทศ...!

สังคมไทยไปไกลเกินกว่า จะมีใครมาปิดประเทศ...!

สังคมไทยไปไกลเกินกว่า จะมีใครมาปิดประเทศ...!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เคยตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนหน้านี้ว่า ท่านนายกรัฐมนตรีจะสามารถรักษายุทธวิธี รักษากลยุทธ์ในเรื่องการพูดไว้ได้นานเพียงใด...หลังจากที่ท่านออกมาบอกสื่อเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ว่า...จะให้สัมภาษณ์น้อยลง จะพูดแต่เรื่องใหญ่และสำคัญ

ซึ่งการปรับเปลี่ยนท่าทีของนายกฯ เป็นการปรับตามยุทธศาสตร์ ...แต่แล้วเมื่อวานนี้ ก็เป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมาจนได้ เมื่อท่านใช้เวลาร่ายยาวในการประชุม ที่เรียกว่าแม่น้ำ 5 สาย เพื่อจะเดินหน้าสู่โรดแมปตามที่วางไว้ จะว่าไปเนื้อหาสาระในการจะนำสังคมไทยให้ก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อนำบ้านเมืองไปสู่ความปกติ เป็นสาระสำคัญที่นายกฯพยายามนำเสนอ...

แต่แล้วประเด็นคำพูดที่เปรียบเทียบเปรียบเปรย กลับถูกขยายให้กลายเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมาจนได้..ด้วยคำพูดที่ว่า หากไม่สามารถแก้ความขัดแย้งในสังคมได้ ก็พร้อมจะอยู่ต่อ จนถึงขั้นปิดประเทศก็ยอม....

คำว่า "ปิดประเทศ"...เป็นคำเป็น คีย์เวิร์ด ที่เข้าทางพอดิบพอดี เป็นคำที่นำมาขยายความให้เห็นถึงความถอยหลัง ในความหมายที่อีกฝ่ายต้องการได้พอดี...ทั้งที่ข้อเท็จจริงและความเป็นจริงในสังคม ประเทศไทยจะปิดประเทศได้จริงหรือ.....?

ด้วยสภาพของเศรษฐกิจ และสังคมไทย ที่เปิดโร่โยงใยเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกไปนานนมแล้ว ด้วยข้อเท็จจริงที่ไม่มีประเทศใดในโลกอยู่แบบปิดๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นอดีตประเทศที่ปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์ หรือ ประเทศที่ปกครองด้วยระบบอำนาจนิยมมายาวนาน แม้ในทางการเมืองจะไม่เปิดให้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ในทางสังคมและเศรษฐกิจ กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลกไปหมดสิ้นแล้ว

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ จีน ...ประเทศที่เป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ของโลก หลังจากมีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ เชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก ก็กลายเป็นประเทศที่มีความสำคัญเรื่อยมาในทางเศรษฐกิจ จนปัจจุบันหากเศรษฐกิจจีนเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด เรียกว่าสะเทือนไปทั่วโลกทีเดียว แต่ในเรื่องการเมือง จีน ยังเป็นประเทศที่ใช้ระบบเดิม ระบบรวมศูนย์อำนาจเช่นเดิม...

ดังนั้น การปล่อยคำพูดของนายกฯ ในทำนองว่า หากแก้ความขัดแย้งไม่ได้จะไม่ยอมให้กลับไปสู่แนวทางตามที่วางโรดแมปนั้น จะเป็นการปิดประเทศก็ยอมนั้น ในทางเป็นจริงไม่สามารถเป็นไปได้เลย เพราะโลกของสมัยใหม่ที่เชื่อมโยงกันอย่างไร้พรมแดน ความจำเป็นที่ต้องพึ่งพากันมีมากขึ้น และเศรษฐกิจสังคมไทยเชื่อมโยงเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกมายาวนาน

ความหมายของการยอมปิดประเทศ น่าจะหมายถึงไม่ยอมเปิดให้ระบบการเมืองกลับไปสู่แนวทางปกติ ตามระบบประชาธิปไตย ไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นตามที่ต้องการเท่านั้นเอง...แต่ การหลุดคำพูดของคนระดับผู้นำ เมื่อหลุดออกมาแล้ว ย่อมถูกตีความและนำไปขยายผล..ซึ่ง ครั้งนี้ทำให้ภาพของนายกรัฐมนตรีติดลบไปมากพอสมควรทีเดียว

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในข้อเท็จจริงสังคมยังต้องการเห็นประเทศไทยเดินหน้าไปตามโรดแมป เดินหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ในอนาคต และแม้นว่า หากผู้นำจะไม่ยอมปล่อยให้มีการก้าวไปสู่ประชาธิปไตยตามที่สัญญาไว้ พยายามหาเงื่อนไขเพื่อรักษาสืบทอดอำนาจไว้

ก็เชื่อว่าสังคมไทยเคยเรียนรู้เคยมีบทเรียน ในการเรียกร้องประชาธิปไตยมาหลายครั้งหลายคราว จะมีหนทางแนวทางในการผลักดันไปสู่ สังคมประชาธิปไตยตามที่ต้องการอีกครั้งหนึ่ง ......

โดย...เปลวไฟน้อย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook