เปิดคำฟ้องคดีล้มละลาย 'หมอฟันหนีทุน' พบยอดหนี้พุ่ง 48 ล้าน!

เปิดคำฟ้องคดีล้มละลาย 'หมอฟันหนีทุน' พบยอดหนี้พุ่ง 48 ล้าน!

เปิดคำฟ้องคดีล้มละลาย 'หมอฟันหนีทุน' พบยอดหนี้พุ่ง 48 ล้าน!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เว็บไซต์ สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ภายหลังจากที่มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดแถลงข่าวเดินหน้าฟ้องล้มละลาย อดีตอาจารย์คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งรับทุนโครงการทุนพัฒนาอาจารย์ สาขาขาดแคลน 16 สาขา ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เพื่อศึกษาต่อปริญญาโทและเอก ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ภายหลังกลับไม่ยอมเดินทางกลับประเทศเพื่อชดใช้ทุนคืน จนส่งผลให้ผู้ค้ำประกันต้องเป็นผู้คืนเงินให้แทนนั้น

ล่าสุด กระบวนการทางกฎหมายได้เดินมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว นั่นคือ การฟ้องล้มละลาย โดย สกอ.ระบุอัยการได้ฟ้องศาลล้มละลายแล้ว เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 ในคดีหมายเลขดำที่ ล.3603/2558 และศาลนัดพิจารณาคดีครั้งแรกวันที่ 14 มีนาคมนี้

สำนักข่าวอิศรา พบว่า สาระสำคัญของคำฟ้องคดีล้มละลายนั้น โจทก์ ซึ่งก็คือ มหาวิทยาลัยมหิดล โดย นายอุดม คชินทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลที่ 1 และสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา โดย นางสาวอาภรณ์ แก่นวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาที่ 2 ยื่นฟ้อง จำเลย คือ นางสาวดลฤดี ให้ชำระหนี้ แก่มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นจำนวน 4.58 ล้านบาท (คำนวณดอกเบี้ยถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2558) และจำนวนหนี้ที่ต้องชำระให้สกอ. เป็นเงินจำนวน 43.27 ล้านบาท (คำนวณดอกเบี้ยถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2558)

ส่งผลให้ปัจจุบันนางสาวดลฤดี เป็นหนี้ตามคำพิพากษาที่จะต้องชำระให้กับมหาวิทยาลัยมหิดล และสกอ. รวมเป็นเงิน กว่า 48 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในคำฟ้องคดีล้มละลาย ระบุด้วยว่า มหาวิทยาลัยมหิดลและสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้เป็นผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 2 ฟ้องจำเลย, นายประสิทธิ์ จำลองราษฎร์, นางอารยา พงษ์หาญยุทธ, นางสาวภัทรวดี ผลฉาย, นายเผด็จ พูลวิทยกิจ และนางสาวพัชนีย์ พงศ์พียะ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 6 ตามลำดับ ต่อศาลปกครองกลาง

เรียกให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (จำเลยในคดีนี้) กับพวก ชดใช้เงินคืนแก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 (ซึ่งเป็นโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้) ในกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (จำเลยคดีนี้) ทำสัญญาการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อศึกษาในวิชาทันตแพทย์ศาสตร์ และสัญญาของข้าราชการที่ไปศึกษาหรือฝึกอบรม ณ ต่างประเทศกับผู้ฟ้องคดีที่ 1

นอกจากนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ยังทำสัญญารับทุนรัฐบาล (ทบวงมหาวิทยาลัย) เพื่อศึกษาวิชาในต่างประเทศกับผู้ฟ้องคดีที่ 2 ด้วย โดยสัญญาการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อศึกษาในวิชาทันตแพทย์ศาสตร์ดังกล่าว มีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ถึง ที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกัน

ส่วนสัญญารับทุนรัฐบาล (ทบวงมหาวิทยาลัย) เพื่อศึกษาวิชาในต่างประเทศดังกล่าว มีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ถึง ที่ 6 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (จำเลยในคดีนี้) กับพวกผิดสัญญา ทำให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 ได้รับความเสียหายจึงได้เรียกให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (จำเลยในคดีนี้) กับพวกชดใช้เงินตามสัญญาดังกล่าว เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1364/2557 (ฟ้องคดีวันที่ 12 พฤศจิกายน 2547)

ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 ศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 180/2549 ว่า (1) ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (จำเลยในคดีนี้) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จำนวน 232,975 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าวนับตั้งแต่วันฟ้องคดีเป็นต้นไป

จนกว่าจะชำระเสร็จ (2) ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จำนวน 1,847,206.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าวนับตั้งแต่วันฟ้องคดีเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ (3) ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 2 จำนวน 116, 431.05 บาท กับอีก 666,131.73 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันฟ้องคดีเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

ทั้งนี้ เงินตราต่างประเทศให้คำนวณเป็นเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพมหานครในวันที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ชำระเงินให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 2 หากอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าวไม่มี ก็ให้ถือวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนก่อนวันที่ชำระเงิน ทั้งนี้ ให้ชำระให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด

คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดจำนวน 52,005 บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และจำนวน 200,000 บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 2 รายละเอียดปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาของศาลปกครอง คดีหมายเลขแดงที่ 180/2549

คดีดังกล่าวไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุด คดีจึงถึงที่สุดแล้ว ในชั้นศาลปกครองชั้นต้น

หนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่เด็ดขาดและกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ซึ่งจำเลยกับพวกจะต้องชำระให้กับโจทก์ทั้งสอง

ขณะที่โจทก์ทั้งสองได้สืบหาทรัพย์สินของจำเลยแล้ว ปรากฏว่า ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะบังคับคดีได้

ผู้ถูกฟ้องคดีหมายเลข 2 ในคดีหมายเลขแดงที่ 180/2549 ของศาลปกครองกลางได้นำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา เฉพาะส่วนของตนครบถ้วนแล้ว และผู้ถูกฟ้องคดี 3 ถึงที่ 6 ได้นำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวให้กับโจทย์ทั้งสองเพียงบางส่วน ส่วนจำเลยยังมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแต่อย่างใด

ปัจจุบันจำเลยจึงยังคงเป็นหนี้ตามคำพิพากษาที่จะต้องชำระให้กับโจทก์ที่ 1 เป็นเงินจำนวน 4,518,987.60 บาท (รวมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาคำนวณถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2558) และจะต้องชำระให้กับจำเลยที่ 2 เป็นเงินจำนวน 43,271,448.28 บาท (รวมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาคำนวณถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2558 โดยคิดอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2558 เท่ากับ 35.596 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา) ตามลำดับ

จำเลยเพิกเฉยไม่นำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์ทั้งสอง ซึ่งโจทก์ทั้งสองได้ทำการเร่งรัดหนี้ตามคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว และจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะดำเนินการบังคับคดีได้อีก จำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งสองเกินกว่า 1 ล้านบาท กรณีเข้าข้อสันนิษฐานของพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 8 ว่า จำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว โจทย์ทั้งสองจึงได้ฟ้องจำเลยเป็นบุคคลล้มละลายในคดีนี้

ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก สำนักข่าวอิศรา

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook