สูงสุดคืนสู่สามัญ "อี๊ด โปงลางฯ" เผยชีวิตหลังเคยโด่งดัง

สูงสุดคืนสู่สามัญ "อี๊ด โปงลางฯ" เผยชีวิตหลังเคยโด่งดัง

สูงสุดคืนสู่สามัญ "อี๊ด โปงลางฯ" เผยชีวิตหลังเคยโด่งดัง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ถ้าเราอยากจะลุกขึ้นมาใหม่เรามีชื่อเสียงเป็นทุนอยู่แล้ว และถ้าเราทำงานออกมาดี ผลงานเราดี คนอื่นเขาก็สนใจจะมาหาเราเอง ค่อยๆ เก็บหอมรอมริบก็ไม่อดตายให้ทุกอย่างมันเดินไปตามวิถีของมันมันก็อยู่ของมันได้"

"สมพงษ์ คุณาประถม" หรือว่า "อี๊ด โปงลางสะออน" นักร้องนักแสดงอดีตวงโปงลางสะออนพูดถึงความสุขในการทำงานของตนเองที่เป็นหัวใจสำคัญในช่วงเวลาปัจจุบันที่วงโปงลางสะออนไม่ได้อยู่ในจุดที่โด่งดังเหมือนในยุคที่เคยเฟื่องฟูเมื่อสิบปีก่อน และเลือกมองในเรื่องชื่อเสียงที่เคยมีนั้นให้เป็น "กำไรชีวิต" ที่คุ้มค่าที่เคยได้มา

สัปดาห์นี้ทีมข่าว Sanook! News จึงขอนำตัว "อี๊ด โปงลางสะออน" มาเปิดใจพูดคุยแบบหมดเปลือกเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตในวงการบันเทิงที่เขานั้นเคยขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของ "ความดัง" และเมื่อวันนึงก็มาลงสู่จุดร่วงโรย ชีวิตหลังความดังของเขานั้นจะเป็นอย่างไร กระแสข่าวงานจ้างที่บางตาลงนั้นจริงหรือไม่ "อี๊ด โปงลางละออน" พร้อมแล้วที่จะมาเคลียร์ทุกคำตอบ

"โปงลางสะออน" ในวันที่ชื่อเสียงแผ่วเบา

"โปงลางสะออนตอนนี้เราก็ต้องเปลี่ยนไปเพราะว่ามันไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนมันต้องวงใหญ่มากแล้วค่าจ้างมันก็หลายตังค์ แต่ตอนนี้เราอาศัยว่ามีแค่คนหลักๆ นักดนตรีเอาแค่สามสี่คนที่เป็นตัวหลัก นางรำก็สองสามคนที่เป็นตัวหลักส่วนตัวอื่นเราก็จ้างเป็นฟรีแลนซ์เพราะว่าพวกนี้มันสวมกันได้ พอมีนักดนตรีหลักนางรำหลักความรับผิดชอบเรามันก็จะน้อยลงแต่มันยังมีความมันส์ความสนุก การบริหารงานมันก็เป็นอีกแบบเราไม่ได้ให้เป็นเดือนๆ แล้วเราจะให้เป็นงานๆ ซึ่งน้องๆ ก็จะสามารถไปรับงานอื่นๆ ได้อีกครับ"

"โปงลางสะออน" จากวงใหญ่อลังการสู่วงขนาดเล็ก

ผมมองว่าคุ้มครับ สมมติว่าอย่างเป็นวงใหญ่ๆ เราไปงานราคาหนึ่งร้อยบาทแต่ถ้าเราไปงานแบบวงเล็กๆ ลดลงมาอาจจะเจ็ดสิบบาทแต่เราก็ได้ไป 2-3 ครั้ง ส่วนค่าจ้างหนึ่งร้อยบาทอาจจะได้ครั้งเดียว สมมติว่างานหนึ่งร้อยบาทหนึ่งอาทิตย์ได้ 2-3 งาน แต่งานเจ็ดสิบบาทหนึ่งอาทิตย์ได้งาน 4-5 งาน ค่าเหนื่อยมันก็ได้ดีกว่าเป็นวงเล็กเพราะคนมันลดลง จะหวังให้ดังคงไม่เพราะเราผ่านจุดตรงนั้นมาแล้ว มันไม่ใช่ว่าเราท้อหรืออะไรมันได้สัมผัสมันได้ไปเจอหมดแล้ว แต่ที่เราอยู่ของเราตอนนี้ก็คือต้องการที่จะรักษามันเอาไว้ เด็กรุ่นใหม่ๆ วงใหม่ๆ ก็เยอะมาร่วมงานกันเป็นพี่เป็นน้องกันโปงลางสะออนก็แตกแขนงออกไปขยายออกไปครับ"

"ปรับตัวปรับใจ" ในวันที่ชื่อเสียงน้อยลง

"ทุกวันนี้ผมถือว่ามันเป็นกำไรมากกว่าเพราะเราเป็นเด็กอีสานกลุ่มนึงที่เข้ามาแล้วมันได้มาขนาดนี้ถือว่าเป็นกำไรจริงๆ อะไรจะเกิดขึ้นมันก็ไม่มีอะไรที่มากกว่านี้ไม่อยากตั้งเป้าหมายไว้ว่ามันต้องดังเหมือนเดิม ปล่อยให้มันไปตามกลไกของมันและมันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันต้องกลับไปเป็นแบบนั้น แต่ให้มันเป็นไปตามวิถีของโปงลางสะออนแค่เราก็ทำให้มันดีๆ

ทุกวันนี้ก็คิดอย่างนั้นโฟกัสที่เนื้องานและก็สร้างงานให้ทุกคนมีอาชีพมันมีความสุขมากกว่า เมื่อก่อนต้องไปวิ่งไปสู้วันนึง 3-4 งานไปกันรถตู้ 4-5 คันไปแบบนั้นถามว่าสนุกมั้ยสนุกครับ แต่อาจจะเลยวัยของเราแต่ทำได้มั้ยก็ทำได้แต่อาจจะลดจำนวนงานลงแต่ให้มันมีคุณภาพให้สบายๆ มากขึ้นไม่ต้องไปยึดติดกับมัน"

"โปงลางสะออน" วัฏจักรสูงสุดคืนสู่สามัญ

"เป็นเรื่องปกติเพราะเราเลือกที่จะเป็นอย่างนี้มันดีกว่าเพราะว่าผมมองอายุสิบกว่าปีที่เราทำงานมามันจะตันแล้วไงสู้เรามาตั้งหลักนิ่งๆ ว่าจะทำอะไรต่อก็กว่ากันไปแต่มันมีอายุงานของมันทุกคนโตกันหมด มันดีซะอีกที่ทุกคนจะไปสร้างอะไรให้กับชื่อเสียงวงต่อมันก็ยิ่งดีไปอีก ไปแตกหน่อมันก็กระจายออกไปเรื่อยๆ ทุกคนผมบอกเรามาไม่ใช่เราจะอยู่ด้วยกันตลอดวันนึงก็ต้องเป็นอย่างนี้มันอาจจะเป็นเร็วหน่อยก็ไม่เป็นไรเพราะว่าทุกคนก็ต้องเข้าใจว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดไปมันต้องมีวันนี้อยู่แล้วจะช้าจะเร็วก็แค่นั้น ทุกคนมีสิทธิ์ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำมันไม่มีอะไรผิด"

"มึนเมา"ในชื่อเสียงความดัง

"ผมมองว่าในช่วงนั้นที่มันทำงานๆ บางครั้งเราก็มองตัวเองไม่เห็นต้องถามคนอื่น มันอาจจะมีแค่ช่วงบางครั้งทำงานเหนื่อยๆ อาจจะลืมแทคแคร์คนอื่นคนใกล้ชิดผมว่าก็เป็นกับทุกคนนะ มันอาจจะเป็นความตื่นเต้นในตอนนั้นตื่นเต้นกับสิ่งที่เข้ามาและเราเป็นเด็กบ้านนอกเรามาทำงานอยู่ตรงนี้ไปเมืองนอกไปเล่นไปโชว์ เล่นหนัง เล่นละคร ก็ได้ทำหมดแล้วพอเลยช่วงที่เราเคยสัมผัสมาแล้วมันก็ธรรมดาเป็นปกติ"

ความสุขของ "อี๊ด โปงลางสะออน"

"ก็ได้ไปนั้นไปนี้กับน้องๆ ที่เขายังมีอุดมการณ์เดียวกับเราได้ทำสิ่งที่ตัวเองหวังเอาไว้ กำลังจะสร้างงานในสิ่งที่เราอยากจะทำได้ทำงานทีวี ชีวิตประจำวันไปเล่นดนตรีกับน้องๆ และทำธุรกิจบ้างเพราะเราโตขึ้นความสุขมันอยู่ตรงนี้ เมื่อก่อนเราต้องวิ่งแข่งขัน แต่พอเราลดการแข่งขันลงแข่งกับตัวเองมันเลยกลายเป็นว่าเรานิ่งขึ้นมันเพลินกับตรงนี้จุดที่เราเคยไปสัมผัสมามันก็มีความสุข ณ เวลานั้น อยู่ตรงนี้ก็มีความสุขกับตรงนี้ จะกลับไปอยู่ตรงที่เคยผ่านมามันไม่ได้ อยู่กับปัจจุบันและก็สร้างงานที่มันเป็นความสุขจริงๆ คือเป็นแก่นสารจริงๆ ก็อยู่ได้แล้วครับ"

และนี่ก็เป็นบทสัมภาษณ์จากก้นบึ้งของความรู้สึกของ "อี๊ด โปงลางสะออน" ที่บอกเล่าออกมาซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนเราหากไม่ยึดติดกับชื่อเสียงความดังที่เคยมีแต่เลือกปรับตัวปรับใจและยอมรับความจริงว่าเป็นเพียงวัฏจักรที่หมุนเวียนมาให้ได้สัมผัส และวันนึงก็ต้องหมุนเวียนจากไปก็จะสามารถเดินหน้าก้าวต่อไปและใช้ชีวิตทำงานอยู่ในวงการได้อย่างความสุขแบบ "อี๊ด โปงลางสะออน" นั่นเอง

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ ของ สูงสุดคืนสู่สามัญ "อี๊ด โปงลางฯ" เผยชีวิตหลังเคยโด่งดัง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook