ตร.พร้อมหนุนกกต.ประชามติให้ลุล่วงไร้เหตุป่วน

ตร.พร้อมหนุนกกต.ประชามติให้ลุล่วงไร้เหตุป่วน

ตร.พร้อมหนุนกกต.ประชามติให้ลุล่วงไร้เหตุป่วน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

รองโฆษก ตร. เผย พร้อมสนับสนุน กกต. ทำโรดแมปประชามติให้เรียบร้อย เตือนแสดงความเห็นอาจขัดกฎหมายได้ ผบ.ตร. สั่งตรวจสอบส่วยสติกเกอร์ต่างด้าว ว่า มี ตร. เกี่ยวข้องหรือไม่

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวยืนยันว่า ตำรวจพร้อมสนับสนุนคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ในการจัดโรดแมป ทำความเข้าใจกับประชาชนตามภูมิภาคต่าง ๆ เกี่ยวกับการออกเสียงประชามติ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 โดยก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ข้าราชการตำรวจทุกพื้นที่ ศึกษารายละเอียด ข้อห้าม ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2559 เพื่อให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างถูกต้องเป็นธรรม พร้อมทั้งกำชับให้วางตัวเป็นกลางทางการเมือง และวางแนวทางปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกพื้นที่ ไม่ได้มีการเฝ้าระวังพื้นที่ใดเป็นพิเศษ โดยให้เฝ้าฟังด้านการข่าวตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ การแสดงความคิดเห็นใด ๆ สามารถทำได้โดยสุจริต แต่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย และมองว่า ความเห็นต่างเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องแสดงออกในเชิงวิชาการ ไม่ก้าวร้าวรุนแรง เป็นเท็จ หรือปลุกระดม พร้อมทั้งขอความร่วมมือประชาชน ศึกษารูปแบบของสิ่งที่ทำได้ และทำไม่ได้ด้วยเช่นกัน ยืนยัน ตำรวจมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย โดยไม่เลือกปฏิบัติ

พ.ต.อ.กฤษณะ เปิดเผยอีกว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งให้มีการตรวจสอบทางลับ กรณีแรงงานต่างด้าว มาลักลอบประกอบอาชีพที่ไม่ได้รับอนุญาตในประเทศไทย โดยอ้างจ่ายส่วยสติกเกอร์ เป็นค่าคุ้มครองเพื่อให้ได้รับสิทธิ์ว่าสามารถประกอบอาชีพได้ โดยกำชับให้ผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และพื้นที่เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด เพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสียหาย โดยยืนยันว่าหากพบหลักฐานชัดเจนว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็จะเดินการทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาด แต่ทั้งนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เนื่องจากลักษณะพฤติกรรมดังกล่าว จะมีการแอบอ้างของกลุ่มมิจฉาชีพ ที่มักอ้างเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง

แต่อย่างไรก็ตาม ตำรวจจะต้องมีการตรวจสอบว่า มีการจ่ายส่วยจริงหรือไม่ และผู้ที่รับและผู้จ่ายจะมีความผิด ซึ่งความผิดดังกล่าวเข้าข่ายความผิดกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่เป็นนโยบายปราบปรามของรัฐ หากลักษณะดังกล่าวเป็นจริง ก็จะมีการตรวจสอบในทางลับ แต่ยังคงไม่ถึงขั้นนำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้น


แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook