ความชอบพลิกชีวิต "โมเม พาเพลิน" ทิ้งไมค์จับแปรงสู่เจ้าแม่บิวตี้เงินล้าน

ความชอบพลิกชีวิต "โมเม พาเพลิน" ทิ้งไมค์จับแปรงสู่เจ้าแม่บิวตี้เงินล้าน

ความชอบพลิกชีวิต "โมเม พาเพลิน" ทิ้งไมค์จับแปรงสู่เจ้าแม่บิวตี้เงินล้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ก็ใจฉัน ชอบกระดุ๊กชอบกระดิ๊ก อยู่อย่างนั้น ชอบกระดุ๊กชอบกระดิ๊ก อยู่ไม่สุขหลุกหลิกหลุกหลิก ที่สุดเลย ก็มันรักเธอ ก็ใจฉัน ชอบกระดุ๊กชอบกระดิ๊ก ไปจากฉันชอบกระดุ๊กชอบกระดิ๊ก ไปหาเธอเอะอะเอะอะ ก็จะไปถ้าเจอเมื่อไร ช่วยจับหน่อย"

ย้อนเวลากลับไปช่วง 18 ปีที่แล้วเพลง "กระดุ๊ก กระดิ๊ก" ได้แจ้งเกิดนักร้องสาวที่มีคาแร็คเตอร์สดใสแลคล่องแคล่วที่มาพร้อมท่าเต้นมือสลับไปมาชื่อว่า "โมเม นภัสสร" ซึ่งเธอก็แจ้งเกิดโด่งดังเป็นนักร้องที่เคยประสบความสำเร็จกับยอดขายเทปที่แตะหลักล้านตลับ และเมื่อมาถึงยุคที่วงการเพลงเริ่มซบเซาภาพความเป็นนักร้องของเธอก็ค่อยๆ เลือนรางหายไปจนแทบจะไม่เห็นเธอขึ้นเวทีจับไมค์ร้องเพลง

แต่ในช่วงเวลานั้นเธอกลับนำความชอบส่วนตัวในเรื่องบิ๊วตี้ที่ได้จากการอาศัยครูพักลักจำมาจากช่วงที่เป็นนักร้องและมองเห็นช่องทางในการมาของ Youtube ซึ่งนั้นก็ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของ "โมเม นภัสสร" คือการวางไมค์และหันมาจับแปรงแต่งหน้าจนเป็นที่รู้จักในนาม "โมเม พาเพลิน" เจ้าแม่บิ๊วตี้เงินล้าน แต่เหนือสิ่งอื่นใดกว่าเธอจะเดินทางมาถึงการเป็นกูรูด้านความสวยความงามแถวหน้าในวงการได้นั้นคงไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ อย่างแน่นอน

เส้นทาง "โมเม" วางไมค์จับแปรงแต่งหน้า

"จริงๆ แล้วเป็นคนที่ชอบเรื่องบิวตี้มาตลอดอยู่แล้ว แอบลักจำช่างที่แต่งหน้าให้สมัยยังเป็นนักร้องเสมอ ได้ ความโชคดีของเราก็คือพอเราทำงานในวงการ เราเจอช่างใหญ่มาทั้งหมดแล้ว โมเมเริ่มแต่งหน้าแรกๆ ก็เจอ พี่ต้อ ชรภาส โอภาสพันธ์ ช่วงอัลบั้มแรกๆ เป็นพี่ต้อตลอดแล้วก็เจอ พี่ม้า พี่เป็ด ลูกน้ำ พี่น้ำมนต์ ก็เจอเรียกว่าเจอทุกคน ทุกครั้งที่เจอพี่ๆ ช่างแต่งหน้าทุกคนให้ความรู้หมดไม่มีใครปิดบัง พี่ป๊อก พี่ป้อม สมัยนี้ พี่ฮั้ว ทุกคนถามอะไรก็ตอบหมด ทำไมต้องอย่างนั้นล่ะ ทำไมต้องอย่างนี้ล่ะ แล้วพี่ๆ เขาก็ไม่เคยรำคาญและเขาก็เล่าให้เราฟัง แล้วสมัยตอนร้องเพลงเราไม่ได้มีช่างใหญ่ไปกับเราตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหัดแต่งเอง ระหว่างทางไปเล่นบุรีรัมย์ จะเอาช่างไปด้วย มันก็ไม่ใช่ ช่วงนั้นเลยทำให้ได้ฝึกมือพอสมควร เอาง่ายๆ"

โมเมเริ่มเล่าถึงเส้นทางการเดินเข้าสู่วงการบิ๊วตี้ที่เกิดจากความชอบและใช้การเรียนรู้จากคนใกล้ตัวจนเริ่มมีฝีมือบวกกับการมองเห็นช่องทางของโลกโซเชียลที่เริ่มเข้ามา

"เรามองเห็นในช่วง 6-7 ปี ที่ผ่านมาซึ่งในเมืองนอกเริ่มทำแล้วนั้นคือการมาของ Youtube และเป็นกลุ่มคนที่เบื่อทีวีเสรี เพราะการหาเวลาในฟรีทีวีเป็นเรื่องบ้าคลั่งมาก ต่อให้มีมันก็จะมีปัญหาตามมาว่า สปอนเซอร์พอไหม ค่าเวลามีจ่ายหรือเปล่า ถ้าจะทำเรื่องเกี่ยวกับบิวตี้แล้วต้องอิงกับเรื่องสปอนเซอร์ แปลว่าเราต้องถือครีมของเขา ถือสินค้าของเขา ก็จะพูดไม่ได้ตามอิสระของเรา ตอนนั้นคนที่เริ่มด้วยกันก็มีพี่สาวของ จอห์น วิญญู คุณโรซี่ จรรยา พี่สาวคุณจอห์นเอง แล้วก็ตัวเรา แล้วก็มีพาทเนอร์ อีก 2-3 คน ที่เริ่มมองว่าอินเตอร์เน็ตทีวีน่าจะมีทางไปที่ดี"

"แล้วก็มานั่งคิดว่าเรื่องอะไรนะที่ชะนีจะนั่งดูไปได้เรื่อยๆ มันก็ต้องเป็นเรื่องความสวยความงาม แล้วเราก็เสียเงินซื้อเครื่องสำอางมาเยอะ เอามาทำอะไรกันไหม ก็เลยตั้งกล้องทั้งที่ก็ยังทำอะไรไม่เป็น ความสนุกของรายการมันอยู่ตรงที่ ต้องยอมรับว่าเราก็เป็นคนที่พูดไปเรื่อยๆ จริงๆ เล่าไปได้เรื่อยๆ เรื่องสัพเพเหระ เล่าไปได้หมด มันก็เลยกลายเป็นว่าคนไม่แต่งหน้าก็ดูเอามันส์ ส่วนคนที่แต่งหน้าก็ดูเอาแต่งหน้าไปมันก็เลยค่อนข้างที่จะครอบคลุม"

"โมเม พาเพลิน" เริ่มต้น ไม่ง่ายแต่ผลลัพธ์ดีเกินคาด

"แรกๆ คนยังไม่เข้าใจกับอินเตอร์เน็ตทีวี คนยังไม่เข้าใจ Youtube คนยังดูทีวีที่บ้านกลับบ้านมาดูละครกันอยู่ ยังไม่เคยมีใครดูละครรีรันในอินเตอร์เน็ต ก็เลยยังไม่มีใครเข้าใจว่าแกมาทำอะไรตรงนี้ แต่มันก็ค่อยๆ เริ่มมาเรื่อยๆ พอคนเริ่มรู้ว่ามันมีรายการของเราแบบนี้ แล้วของที่เราเอามาพูดมันไม่มีสปอนเซอร์ เราเสียเงินเองทุกบาท ทุกสตางค์ ค่าตัวไม่เคยถึงบ้าน ก็เลยเริ่มมีคนติดตาม เริ่มมีผลตอบรับกลับมาที่แบรนด์ จริงๆ แล้วตอนแรกมันเป็นการทำการตลาดแบบที่ตรงกันข้ามคือ

เราไม่ได้พุ่งไปหาแบรนด์แล้วกลับมาทำรายการ เราทำรายการก่อนเสร็จแล้วแบรนด์ถึงกลับมาหาเรา เพราะเขารู้สึกว่ามันเริ่มมีผลลัพธ์บางอย่างกลับไปที่แบรนด์ อยู่ดีๆ ทำไมมันขายหมด ผู้คนรู้สึกว่าสิ่งนี้ต้องมี แล้วเราก็รู้สึกว่ามันค่อยๆ เริ่มจากคนดูเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น จนมาถึงจุดที่คนดูทะลุล้าน ลุคแรกคือลุคดาราเป็นลุคของ พลอย เฌอมาลย์ จากเรื่องระบำดวงดาว เราเริ่มรู้สึกได้เลยว่าหญิงไทยอยากเป็นดารามาก" 

และนอกเหนือจากการสอนการแต่งหน้าในลุคของเหล่าดาราแล้วนั้น โมเมยังเผยต่ออีกว่าการบอกปากต่อปากและการเข้ามาของโซเชียลเฟซบุ๊คก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ "โมเม พาเพลิน" เป็นที่รู้จักและยอมรับ

"การบอกปากต่อปากและการมาของ Facebook ก็ช่วยด้วยค่ะ มันก็แชร์ไปไวกว่าดูโทรทัศน์ที่บ้าน แล้วพฤติกรรมการเสพสื่อของคนก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ คนกับการกลับบ้านให้ตรงเวลาเพื่อที่จะไม่พลาดรายการทีวีมันไม่มีอีกแล้ว ทุกคนต้องการดูในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะอย่างนั้นอินเตอร์เน็ตทีวีจึงเข้ามาตอบสนองความต้องการ ส่วนรายการของเราก็ถูกช่องทีวีมาสอบถามขอรายการไปออกอากาศ

แต่เรายังคงที่จะอยู่ในอินเตอร์เน็ตทีวีต่อไป เพราะเมื่อไหร่ที่เราเข้าสู่ระบบทีวีเสรี การมาของสปอนเซอร์ที่ถูกยัดเหยียด ก็จะเกิดขึ้นจะเกิดข้อห้ามไปจับแบรนด์อื่นที่ ไม่ได้ซื้อสปอนเซอร์ หลายคนบอกว่ามันจะได้ดังขึ้น แต่เรารู้สึกว่าอยู่อย่างนี้สบายใจกว่า เวลาทำงานรู้สึกเหมือนเป็นบ้านเล็กๆ ของเรา จะจับเล่นของอะไรก็ได้ ไม่ต้องมานั่งถูกกำหนดโดยสินค้า ให้ตัวเราเป็นคนกำหนดลุคเป็นตัวกำหนดผลิตภัณฑ์ที่เราจะใช้ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์มาบังคับเรา"

"โมเม พาเพลิน" ชื่อปังดังติดปาก

"จริงๆ ตอนแรกเลยเราจะไม่ได้ทำรายการแต่งหน้าล้วนๆ ตั้งใจจะทำรายการวาไรตี้สำหรับผู้หญิงในแง่ของความจุ๊กจิ๊ก ช้อปปิ้ง กิจกรรมยามว่าง แต่ตัวที่พูดถึงเครื่องสำอางมันดันดังมาก จนเราต้องตอบสนองคนดูในส่วนของเมคอัพ ส่วนคำว่า พาเพลิน มันหลุดออกมาจากกลางโต๊ะประชุม ข้อแรกเลยเราไม่อยากได้ชื่อฝรั่ง เพราะคนไทยต้องคิดว่ามันแปลว่าอะไร ตัวรายการมันก็ฝรั่งจ๋ามากพออยู่แล้ว ตัวชื่อรายการเลยอยากได้แบบที่ฟังแล้วต้องรู้ว่ามันจะไปทำอะไร ฟังแล้วสนุก หรือต้องดูแล้วรู้สึกยังไง คือช่วยกันระดมสมองหลายชื่อมาก จนโมเมหลุดมาว่ามันต้องเพลินสิ รายการเรามันต้องดูแล้วเพลิน ดูเพลินๆ เอาพาเพลินไหม เท่านั้นแหละมติเอกฉันท์เอาชื่อนี้เลย"

หลังจากรายการ "โมเม พาเพลิน" เกิดขึ้นและใช้เวลาในการปลุกปั้นมากว่า 7 ปี จนโด่งดังแล้วนั้นงานด้านบิ๊วตี้ก็สามารถทำให้เธอโกยรายได้หลักล้านเลี้ยงตัวเองและครอบครัว

"เราไม่ได้คิดหรอกว่ามันจะกลายมาเป็นสิ่งที่เลี้ยงตัวเราเองได้ แต่เราโชคดีที่ได้เห็นก่อนและทำก่อนเพราะถ้านับจำนวนบล็อกเกอร์จริงๆ ตอนนี้เยอะมาก จนไม่รู้ใครเป็นใครแล้วจำได้ไม่หมด คือเราก็ไม่มีเวลามานั่งดูทุกคน มีแต่ลูกค้าที่ต้องมานั่งดูนั่งเลือก ส่วนมากคนเราจะนึกถึงคนที่ทำก่อนเจ้าแรกๆ เพราะมันติดหู ติดปาก และนับเป็นความโชคดีของเราที่ทีมงานและคนรอบๆ ข้างคิดที่จะมาทางนี้ก่อน ในช่วงที่ผ่านมาสามปีแรกนี้กินแกลบเลยนะ เพราะมันเป็นช่วงเริ่มต้น แต่ในช่วงที่ประสบความสำเร็จค่าตัวเราก็เหมือนดาราปกติแหละ ที่เมื่อเราไปถึงจุดๆ หนึ่งก็เรียกค่าตัวได้ สมกับในจุดที่เราอยู่ แต่มันก็ไม่ได้สูงขนาดนั้น"

"โมเม พาเพลิน" เจ้าแม่บิวตี้ตัวแถวหน้าของวงการ

"เวลาถูกเรียกว่าเป็นบิวตี้กูรูจะเขินทุกที กับคำว่ากูรู ไม่รู้สิ จริงๆ แล้วก็พูดยากเรื่องให้ตำแหน่งตัวเอง เอาจริงๆ แล้ว คำที่ใช้แพร่หลาย ใช้แล้วไม่รู้สึกเขินในช่วงที่ผ่านมาคือคำว่า Influencer Beauty & Lifestyle Influencer ก็คือเราเป็นผู้บริโภคคนหนึ่ง เราไม่ได้มองว่าเรากลายเป็นช่างแต่งหน้า เป็นกูรูหรือเป็นอะไรเหล่านั้นเท่าไหร่ เพราะเราก็ยังเรียนรู้ทุกวันที่เราได้ของมา หรือได้ข้อมูลมาว่าเดี๋ยวนี้มีเทรนด์นี้ด้วยเหรอ เป็นแบบนั้น แบบนี้ด้วยเหรอ ผลิตภัณฑ์มันไปถึงไหนกันแล้ว เราก็พลีชีพก่อนตายก่อน พังก่อนพบแพทย์ก่อน หน้าปุก่อน แล้วก็ค่อยว่ากันไป ขั้นตอนการทำงานของโมเมก็ยังเหมือนเดิม

สำคัญที่สุดคือต้องขอบคุณคนดูที่เขาอยู่กับเรากันมานาน หลายคนโตมากับเรา เอาจริงๆ แล้วผลตอบรับที่เราชอบที่สุดคือ เวลาเจอใครเข้าเดินเข้ามาหาเราแล้วบอกเราว่า พี่ทำให้หนูแต่งหน้าเป็น มีคนชมแต่งหน้าไปงานแล้วมีคนคิดว่าหนูจ้างช่างแต่งหน้า เราจะรู้สึกทำดีมากน้องทำต่อไปนะ เรารู้สึกดีใจปลาบปลื้มมาก การที่เราได้ผลตอบรับจากคนเหล่านี้ทำให้เราได้รู้ว่าใครมีปัญหาอะไร ความชอบ หรือไม่ชอบอะไร อยากแต่งหน้าแบบไหน มันทำให้เกิดไอเดียกับเรา แล้วก็ให้ความอิ่มเอมกับคนที่ได้มาเจอเราเขาได้อะไรกลับไปใช้ในชีวิตจริง"

และจากการที่ "โมเม พาเพลิน" ก้าวขึ้นไปอยู่แถวหน้าวงการบิ๊วตี้แล้วนั้น ก็ยังส่งผลให้เธอได้โอกาสครั้งสำคัญกับการร่วมเดินทางไปทีมลอริอัลเพื่อเข้าร่วมงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ในฐานะบิ๊วตี้

"เป็นประสบการณ์ใหม่ เพราะว่าไม่เคยไปคานส์เลย ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ ช่างแต่งหน้า แล้วก็ เนลอาร์ทิสของทางลอรีอัลปารีสหลายคนเหมือนกันนะคะ แล้วก็ได้สัมภาษณ์ตัวดาราด้วย เบลค ไลฟ์ลี่ย์ ที่เป็น โฆษกของลอรีอัลปารีส ก็คือคนที่เล่นเป็น เซรีน่า ในกอสซิปเกิร์ล ก็ได้นั่งคุยกันแล้วก็ ไอศวรรยา ราย ก็ได้สัมภาษณ์ เราได้เรียนรู้เพราะเราก็มีอะไรที่อยากถามทั้งของตัวเราเองเยอะแยะ ไม่ใช่แค่ถามสำหรับเอามาให้คนอื่นเท่านั้น

เราเองทุกครั้งที่ได้มีประสบการณ์ออกไปเจอผู้คนแบบนี้ เราก็ได้อะไรกลับมาเยอะแยะมากมายได้มิตรภาพ ได้ Contact person ได้คนที่ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความชอบในเรื่องเดียวกันมาเดี๋ยวเจอบล็อกเกอร์ ประเทศอื่น เราก็ได้ทำความรู้จักกันไว้เผื่อว่าต่อไป ที่อาจจะมีอะไรเราสามารถเอามาทำร่วมกันได้รู้สึกดีมากๆ ค่ะ"

และนี่คือทั้งหมดของการสัมภาษณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่าหากคุณมีความชอบและรักในสิ่งใดก็ตาม และรู้จักที่จะเรียนรู้นำมาต่อยอดเพื่อพัฒนาตนเองแล้วนั้น สักวันนึงคุณก็จะได้พบกับความสำเร็จอย่างเช่น " โมเม พาเพลิน" ที่ในวันวานเธอเลือกทิ้งไมค์มาจับแปรงจนกลายเป็นกูรูความงามดั่งเช่นทุกวันนี้



อัลบั้มภาพ 14 ภาพ

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ ของ ความชอบพลิกชีวิต "โมเม พาเพลิน" ทิ้งไมค์จับแปรงสู่เจ้าแม่บิวตี้เงินล้าน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook