สาวโร่แจ้งความอ้างถูกตำรวจรีดทรัพย์ พาออกจากห้องขังไปข่มขืน

สาวโร่แจ้งความอ้างถูกตำรวจรีดทรัพย์ พาออกจากห้องขังไปข่มขืน

สาวโร่แจ้งความอ้างถูกตำรวจรีดทรัพย์ พาออกจากห้องขังไปข่มขืน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สาวโร่แจ้งความถูกกลุ่มชายฉกรรจ์อ้างเป็นตำรวจ บุกจับคดีเสพยาไอซ์แล้วรีดทรัพย์แลกอิสรภาพ ซ้ำร้ายยังพาออกจากห้องขังไปข่มขืนในที่เปลี่ยว

(22 มิ.ย.) เมื่อเวลา 16.30 น. สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี อ้างว่าตัวเองถูกกลุ่มตำรวจนอกรีตโรงพักแห่งหนึ่ง ทำการจับกุมในข้อหาเสพยาเสพติด แล้วทำการลักทรัพย์ , ข่มขู่รีดไถเงินเพื่อแลกอิสรภาพ และพาไปข่มขืนกระทำชำเรา

จากการสอบสวน น.ส.แอน (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี ชาว อ.ศรีเชียงใหม่ จ.อุบลราชธานี เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ตนมีอาชีพเป็นหมอนวดแผนไทยอยู่ที่เกาหลีใต้ แต่ภายหลังถูกทางการเกาหลีใต้จับกุมในข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมาย ก็ถูกเนรเทศกลับไทย และเพิ่งมาขอพักอาศัยอยู่กับเพื่อนชื่อ น.ส.บิว (นามสมมุติ) ที่อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง ในซอยเฉลิมพระเกียรติ 9 ย่านพัทยาเหนือ และเพื่อรอเวลาหางานใหม่

กระทั่งเวลาประมาณ 18.00 น. ของวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ตนนั่งกินข้าวอยู่กับ น.ส.บิว และ น.ส.ฟาง ซึ่งรู้จักกันแค่เพียงผิวเผิน จู่ๆ มีชายฉกรรจ์จำนวน 4 คน และเด็กชายอายุประมาณ 5 ขวบ 1 คน ใช้กุญแจไขประตูเปิดเข้ามาในห้อง พร้อมกับอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.นาจอมเทียน

จากนั้นทั้งหมดได้ทำการค้นห้องพัก ก่อนฉวยเอาพระเครื่องของตนรวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ อีกหลายรายการ ไปเป็นของตัวเองโดยอ้างว่าจะเก็บไว้ให้ ซึ่งจากการตรวจค้นพบยาไอซ์จำนวน 40 กรัม อยู่ในตัว น.ส.บิว ส่วนตนเองก็ยอมรับว่าเสพยาจริง ทางตำรวจจึงนำตัวไปที่ สภ.นาจอมเทียน ก่อนพาไปกักตัวที่ห้องทำงาน และยังไม่ถูกนำตัวเข้าห้องควบคุม

ต่อมาวันที่ 9 มิ.ย. น.ส.บิว มาบอกว่า ตำรวจให้หาเงินมาจำนวน 5,000 บาท เพื่อจะใช้ล่อซื้อยาเสพติด ถ้าหามาไม่ได้ตำรวจก็จะไม่ปล่อยตัว ตนจึงโทรศัพท์ไปยืมพี่ชายซึ่งเป็นตำรวจที่กรุงเทพฯ และได้เงินมาจำนวน 2,000 บาท รวมกับเงินสดในบัญชีธนาคารของตนอีก 1,500 บาท เป็นเงินทั้งหมด 3,500 บาท เลยต่อรองว่ามีเงินเพียงเท่านี้ ทางเจ้าหน้าที่จึงให้ตนโอนเข้าบัญชีของ น.ส.บิว และไม่ทราบว่าเพื่อนสาวเอาเงินไปล่อซื้อยาเสพติดตามที่บอกหรือไม่

กระทั่งกลางดึกวันที่ 10 มิ.ย. ชายที่อ้างว่าเป็นตำรวจชื่อต้น (ไม่ทราบยศ) และเข้าเวรห้องควบคุมอยู่ในขณะนั้น ได้เรียกตนออกมาจากห้องขัง ซึ่งในขณะนั้นมีหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันถูกคุมขังอยู่รวม 7 คน ก่อนพาไปนอนยังห้องๆ หนึ่งบนสถานีตำรวจ พร้อมกับบอกว่าจะทำเครื่องหมายฝากไว้เพื่อไม่ให้ใครมายุ่ง จากนั้นจึงใช้ปากดูดลำคอของตนจนเป็นรอยจ้ำ และพยายามจะปลุกปล้ำขืนใจ แต่ตนอ้างว่ามีประจำเดือน นายต้นจึงผละออกไปและนำตนกลับไปยังห้องควบคุมเหมือนเดิม

ถัดไปเพียงวันเดียว น.ส.บิว มาบอกให้ตนหาเงินมาอีก 15,000 บาท เพื่อใช้ล่อซื้อยาอีกครั้ง และครั้งนี้หากหาเงินมาได้ตำรวจก็จะปล่อยตัว ตนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงโทรศัพท์ไปหาพี่สาวที่ต่างจังหวัดเพื่อขอความช่วยเหลือ พี่สาวจึงเอาสร้อยคอทองคำไปจำนำแล้วส่งเงินมาให้ ก่อนที่ตนโอนเข้าบัญชี น.ส.บิว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับการปล่อยตัว

และในคืนวันเดียวกันนั้นนายต้น ที่เข้าเวรหน้าห้องควบคุม ได้เรียกตนออกมาจากห้องขังอีกครั้ง พร้อมกับบอกว่าจะพาไปขับรถเที่ยวเพื่อให้หายเครียด แต่ภายหลังกลับพาตนขับรถเข้าไปยังโรงแรมแห่งหนึ่งที่กำลังก่อสร้าง ตั้งอยู่หลังคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ถนนจอมเทียนสาย 2 ย่านชายหาดจอมเทียน ซึ่งเป็นที่เปลี่ยว ก่อนพยายามปลุกปล้ำขืนใจ แต่ตนมีประจำเดือน ประกอบกับอวัยวะเพศของนายต้นไม่แข็งตัว ทำให้ไม่สำเร็จความใคร่ ก่อนที่จะพาตนกลับไปคุมขังตามเดิม

จนเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. เวลาประมาณ 10.00 น. พี่ชายซึ่งเป็นตำรวจอยู่โรงพักแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ได้เดินทางมาเยี่ยมตนพร้อมกับสอบข้อเท็จจริง ก่อนที่จะไปเจรจากับนายอึ่งที่อ้างตัวเป็นหัวหน้าชุดจับกุม นายอึ่งจึงยื่นข้อเสนอให้หาเงินมาจำนวน 100,000 บาท เพื่อแลกกับอิสรภาพ แต่พี่ชายหาเงินมาได้เพียง 60,000 บาท เลยทำการต่อรองจนนายอึ่งยินยอม

จากนั้นมีชายไทยชื่อนายหวัง มารับเงินจำนวนดังกล่าว แต่ภายหลังนายอึ่งกลับบอกว่าตนเองจะต้องถูกดำเนินคดีพนันฟุตบอล หากไม่อยากถูกดำเนินคดีก็ต้องจ่ายเงินอีก ตนเลยบอกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวเหลืออยู่แค่ 3,000 บาท ทางนายอึ่ง ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก่อนยึดเงินจำนวนดังกล่าวของตนไป แล้วปล่อยตัวออกมาช่วงบ่ายวันเดียวกัน

ภายหลังตนได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษาญาติๆ และคิดว่าการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้อง จึงเดินทางเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองพัทยา ไว้เป็นหลักฐาน พร้อมกับไปตรวจร่างกายที่ รพ.บางละมุง และ รพ.เมืองพัทยา ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าถูกข่มขืนกระทำชำเรา จากนั้นจึงเดินทางเข้าร้องเรียนที่มูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรี , กระทรวงยุติธรรม และจเรตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอความช่วยเหลือและนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย

ด้าน ร.ต.อ.สิระภูเดชน์ ชำนาญกิจ รองสารวัตรสอบสวน เจ้าของคดี เผยว่า เบื้องต้นได้ประสานไปยังตำรวจชุดสืบสวนเพื่อให้ตรวจสอบกล้องจรปิดใกล้เคียงที่เกิดเหตุ พร้อมกับรวบรวมพยาน-หลักฐานส่งสำนวนการสอบสวน ไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยืนยันว่าจะทำคดีอย่างตรงไปตรงมา หากพบว่าผิดจริงก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook