"ปฏิรูปความรู้" หัวใจของการปฏิรูปประเทศในทุกมิติ

"ปฏิรูปความรู้" หัวใจของการปฏิรูปประเทศในทุกมิติ

"ปฏิรูปความรู้" หัวใจของการปฏิรูปประเทศในทุกมิติ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เป็นเรื่องน่าตะลึง ในพฤติกรรมของตำรวจไทยในยุค การเรียกของการปฏิรูปตำรวจอย่างมากในความรู้สึกของผม..สำหรับกรณี ตำรวจ 5 นายที่บุกไปจับกุม พี่น้องชนเผ่า "มานิ" ที่มาร่วมในเวทีการเสวนาทางวิชาการของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนภาคใต้ โดยมีการอภิปรายปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่ม เช่น กรณีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา กรณีการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล โดยกลุ่มประมงพื้นบ้าน รวมทั้งเรื่องปัญหากลุ่มชาติพันธุ์

ตามรายงานข่าว ตำรวจเข้าจับกุมชาว "มานิ" ที่มาร่วมงานเพื่อบอกเล่าความจริงของการดำรงชีวิตที่ยากลำบาก เนื่องจากพวกเขาไม่ได้การรับรองให้เป็นพลเมืองของไทยไม่มีบัตรประชาชน โดยตำรวจที่จะเข้ามาจับกุมในข้อหาเป็นบุคคลไร้สัญชาติเดินทางออกนอกพื้นที่....?

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนได้เจรจากับเจ้าหาที่ตำรวจ และติดต่อประสานงานกับฝ่ายปกครองระดับสูงของจังหวัด ตำรวจทั้ง 5 นายจึงเดินทางกลับไป

ชาว "มานิ" คือใคร หากคนทั่วไปที่ไม่ได้ติดตามและศึกษาในเรื่องของชนเผ่าคงยากจะรู้ ชาวมานิ เป็นชื่อเรียกตัวเอง ที่มีความหมายว่า มนุษย์ ของชนเผ่าที่คนไทยทั่วไปรู้จักในนาม "ซาไก" ชนเผ่าที่สืบเชื่อสายมายาวนานในพื้นที่ป่าเขาทางภาคใต้ของไทยและในบางพื้นที่ของมาเลเซีย โดยชนเผ่า มานิ ในไทย อาศัยอยู่บนป่าเขาในแถบจังหวัดตรัง พัทลุง สตูล นราธิวาส ยะลา เป็นต้น

ความเก่าแก่ยาวนานของชนเผ่า มานิ หรือ ซาไก สืบย้อนไปนานนับหลายพันปี เป็นชนเผ่าที่เป็นร่องรอยของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำไป แต่ในปัจจุบัน เนื่องจากปัญหาแหล่งอาศัยซึ่งเป็นป่าเขา ถูกทำลายไปมาก ทำให้การดำรงชีพเป็นไปได้ยาก แหล่งอาหารตามธรรมชาติ ทั้งพืชผักและสัตว์ป่าหายากยิ่ง ทำให้พวกเขาต้องออกจากป่ามาอยู่ในเขตพื้นราบ ในเขตหมู่บ้าน ซึ่งการอพยพลงมาจากป่าเขาทำให้พวกเขาประสบปัญหาหนักเช่นกัน เพราะ ทางการไทยไม่ยอมรับพวกเขาเป็นพลเมือง พวกเขาจึงเป็นคนไร้รัฐ ไม่มีสิทธิใดๆตามระเบียบกฎหมาย ตามการปกครองของระบบการเมืองการปกครองสมัยใหม่ ?

ในเมื่อขณะที่เกิดมาบนผืนแผ่นดินเกิด แต่ไม่ถูกยอมรับนับรวมเป็นพวกเป็นเหล่า แม้จะมีรากยาวนานนับพันปีก็ตาม แต่ไม่อาจมีตัวตนตามกฎหมายของรัฐไทยได้ พวกเขาจึงไม่มีสิทธิใดๆในการดำรงชีพได้เลย พวกเขาไม่อาจได้รับสวัสดิการพื้นฐานของรัฐ ไม่อาจเข้าสู่ระบบการศึกษา ไม่อาจเข้าสู่ความเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย...สิ่งเหล่านี้เป็นความปวดร้าวที่สุดในฐานะของ มนุษย์ที่เกิดมา แต่ไม่อาจดำรงฐานะไม่อาจเลี้ยงชีพ ได้สมฐานะความเป็นมนุษย์คนหนึ่งได้อย่างเท่าเทียมกับคนอื่นๆบนโลกใบนี้

สิ่งที่พวกเขามานำเสนอในเวทีของ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ครั้งนี้จึงเป็นหนทางหนึ่งที่เขาจะสามารถได้รับการยอมรับจากรัฐไทย ยอมรับความมีตัวตนของพวกเขา เปิดโอกาสให้เขาได้ดำรงชีวิตได้อย่างเต็มภาคภูมิในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

แต่การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่บุกไปกลางงานเพื่อจะจับกุมเขา ในข้อหา บุคคลไร้รัฐที่เคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ ..นับเป็นการกระทำที่ต้องบอกว่า น่าเศร้าใจ น่าตระหนก น่าตะลึง ยิ่งในข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหา เป็นจริงทุกประการ แต่ถามว่าตำรวจรู้หรือไม่ว่า เหตุใดเขาจึงมีฐานะเป็นบุคคลไร้รัฐ..?

การที่เขาเดินทางมาร่วมงานในเวทีของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน..ย่อมต้องได้รับการติดต่อประสานงานเพื่อให้เขาเดินทางมาเพื่อให้ข้อมูลข้อเท็จจริง..เพื่อประโยชน์ในการที่รัฐไทยจะได้ข้อมูลและจะสามารถดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับความเป็นจริงเปิดโอกาสให้พวกเขาได้มีสิทธิในความเป็นพลเมือง เหมือนคนอื่นๆที่เกิดและสืบเชื่อสายมายาวนานในผืนแผ่นดินนี้

หากเจ้าหน้าที่ตำรวจจะอ้างว่าต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ก็ย่อมได้ แต่...ในฐานะความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ย่อมทราบดี ชาวมานิ ที่มาไม่ได้มาก่ออาชญากรรมใดๆ ไม่ได้มีการกระทำใดๆที่เป็นการสร้างความเสียหายให้กับใครเลย เขาเพียงมาสะท้อนปัญหา เพื่อเขาจะดำรงตนในฐานะ มนุษย์คนหนึ่ง ขอโอกาสเป็นพลเมืองของรัฐเหมือนคนอื่น เจ้าหน้าที่ไม่มีวิจารญาณเพียงพอในเรื่องนี้เชียวหรือ..?

และหากจะพูดถึงการรักษากฎหมาย ถามจริงๆ ว่าตำรวจรักษากฎหมายในทุกกรณี จังหวัดสงขลา ไม่มีการกระทำใดๆที่ผิดกฎหมาย โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจละเลยมองไม่เห็นจริงหรือ...?

ประเด็นสำคัญก็คือ ความหวังในการปฏิรูปประเทศไทย การสร้างสังคมที่เป็นสุขในอนาคต ประเด็นหนึ่งที่สำคัญก็คือ การปฏิรูประบบพื้นฐานของกระบวนการยุติธรรม การปฏิรูปตำตรวจซึ่งเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด มีอำนาจตามกฎหมาย มีอาวุธเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หาก ตำรวจสามารถเป็นที่พึ่ง จริงๆของประชาชน จำเป็นที่ตำรวจต้องปฏิรูปองค์ความรู้ให้กว้างขวางขึ้น ในในมุมของรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ นอกเหนือจากมุมของ นิติศาสตร์เพียงอย่างเดียว

แนวทางการปฏิรูป ที่พยายามกันอยู่ ที่มุ่งเน้นไปที่การจัดโครงสร้างอำนาจ โครงสร้างตำแหน่งขององค์กร ไม่น่าจะเป็นทางออกที่ถูกต้องที่สุด การปฏิรูประบบความรู้ เพื่อให้เข้าใจปัญหาในทุกมิติ สำคัญยิ่ง..และเป็นหัวใจของทุกภาคส่วนในการปฏิรูปประเทศ

โดย เปลวไฟน้อย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook