กรมชลฯศึกษานำเชื้อราฉีดยับยั้งผักตบ
กรมชลประทาน ติดตามกำจัดวัชพืชตามนโยบายรัฐ คาดกำจัดหมดในเดือน ก.ย. ส่วนลุ่มแม่น้ำแม่กลอง ส.ค. พร้อมศึกษานำเชื้อราฉีดยับยั้งผักตบ เชื่อน้ำพอใช้หลังฝนตกหนุนปริมาณเขื่อน
นายทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีกรมชลประทาน และโฆษกกรมชลประทาน กล่าวภายหลังการลงพื้นที่ ต.บ้านม่วง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เพื่อติดตามการเร่งรัดกำจัดวัชพืชตามนโยบายภาครัฐว่า ในพื้นที่บริเวณแม่น้ำแม่กรอง ตลอดระยะทาง 1.5 กิโลเมตร มีผักตบชวาขีดขวางทางระบายน้ำประมาณ 15,000 ตัน จึงได้ร่วมมือกับมณฑลทหารบกที่ 16 และหน่วยงานส่วนท้องถิ่น จัดรถขุดตัก 2 คัน เรือกำจัดวัชพืชรวม 4 ลำ เพื่อกำจัดผักตบชวา มากองไว้ที่จุดเหมาะสม ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา และคาดว่าแล้วเสร็จภายในวันพรุ่งนี้ จากนั้นจะประสานกับกรมพัฒนาที่ดิน เพื่อนำผักตบชวาทั้งหมด ไปทำเป็นปุ๋ยหมักแจกจ่ายให้กับเกษตรกรต่อไป โดยเฉพาะเกษตรกรที่ปลูกมะนาวและส้มโอ ส่วนภาพรวมการกำจัดผักตบชวาในพื้นที่ที่กรมชลประทานควบคุมดูแลกว่า 35,000 กิโลเมตร คาดว่ากำจัดได้ทั้งหมดภายในเดือนกันยายน นี้ ขณะที่พื้นที่ในลุ่มแม่น้ำแม่กรอง จะกำจัดได้แล้วเสร็จภายในเดือนนี้ เนื่องจากในเดือนกันยายน - ตุลาคม จะเป็นช่วงที่ฝนตกชุกในพื้นที่ภาคกลาง จึงต้องเร่งรัดดำเนินการเพื่อป้องกันการขีดขวางทางระบายน้ำ
พร้อมกันนี้ นายทองเปลว เปิดเผยว่า มาตรการระยะยาวในการกำจัดผักตบชวาในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ ที่กรมชลประทาน ควบคุมดูแลนั้น ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศึกษาวิจัยการนำเชื้อรายับยั้งการเติบโตของผักตบชวา ซึ่งในเบื้องต้นผลการทดลองฉีดเชื้อราเข้าผักตบชวา พบว่าสามารถยับยั้งการเติบโตได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้จะต้องมีการทดสอบถึงผลกระทบต่อคุณภาพน้ำหรือไม่ ทั้ง
เรื่องของความเป็นกรด เป็นด่าง ความเค็ม ความขุ่นของน้ำ รวมถึงสิ่งมีชีวิตในน้ำ ว่าจะมีผลกระทบหรือไม่อย่างไร ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการทดสอบศึกษาวิจัยซ้ำอีกหลายครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากนั้น กรมชลประทาน จะนำร่องหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการใช้ควบคู่ไปกับการกำชับให้หน่วยงานในพื้นที่กำจัดผักตบชวาตามกำหนด โดยเฉพาะพื้นที่เชื่อมต่อกับคลอง และทางระบายน้ำทั่วประเทศ ทั้งนี้ นายทองเปลว กล่าวว่า งบประมาณของกรมชลประทานที่ได้รับจัดสรรในการควบคุมกำจัดวัชพืช เพื่อขึ้นประมาณร้อยละ 10-15 ต่อปีตามพื้นที่ ที่กรมชลประทานรับผิดชอบขยายตัวเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ นายทองเปลว ยังเปิดเผยว่า ปริมาณฝนที่ตกต่อเนื่องในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะนี้ส่งผลดีต่อภาครวมสถานการณ์น้ำในประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ 2 เขื่อนหลัก คือ เขื่อนภูมิพล ที่มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อน ประมาณ 20 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน จากเดินอยู่ที่ 10 - 15 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และเขื่อนสิริกิติ์ที่ได้รับอานิสงส์จากปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ภาคเหนือโดยเฉพาะพื้นที่ จ.น่าน ทำให้ที่ผ่านมามีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนเฉลี่ยสูงถึง 175 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และปรับลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 80 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งทำให้ภาพรวมปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เป็นแหล่งน้ำครอบคลุมพื้นที่ 22 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ขณะนี้มีน้ำใช้อยู่ที่ 3,900 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่อยู่ที่ 1,900 ล้านลูกบาศก์เมตร และคาดว่าในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่จะเริ่มต้นเข้าสู่ช่วงฤดูแล้งจะมีปริมาณน้ำรวมสูงกว่า 8,500 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 4,247 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมั่นใจว่าปริมาณน้ำจะเพียงพอต่อการอุปโภคและบริโภคของประชาชน ไปจนถึงช่วงหน้าแล้งที่จะมาถึง