พ่อสงวน น้ำตาคลอ อยากสร้าง "เรือนทฤษฎี" เก็บทุกความทรงจำของลูกชาย

พ่อสงวน น้ำตาคลอ อยากสร้าง "เรือนทฤษฎี" เก็บทุกความทรงจำของลูกชาย

พ่อสงวน น้ำตาคลอ อยากสร้าง "เรือนทฤษฎี" เก็บทุกความทรงจำของลูกชาย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"พ่อสงวน สหวงษ์" คุณพ่อของพระเอกหนุ่มผู้ล่วงลับ "ปอ ทฤษฎี สหวงษ์" ได้ออกมาเปิดใจถึงความรู้สึกกับทีมข่าว Sanook! News ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่ลูกชายคนโตของบ้านได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ โดยคุณพ่อสงวนเผยกับเราว่า ทุกวันนี้ยังคงเชื่ออยู่เสมอว่าลูกชายไม่ได้จากไปไหน เนื่องจากที่ผ่านมายังคงฝันถึงอยู่บ่อยๆ พร้อมทั้งกล่าวคำขอบคุณทุกความรักจากแฟนคลับที่มอบให้กับหนุ่มปอเสมอมา

นอกจากนี้แล้วคุณพ่อสงวนยังเผยต่ออีกว่า ตอนนี้มีความคิดที่จะสร้าง "เรือนทฤษฎี" บนพื้นที่ไร่นาป่าสงวน เพื่อเก็บรวบรวมทุกความทรงจำของลูกชายเอาไว้ โดยหวังว่าจะให้เป็นสถานที่ที่สามารถให้แฟนคลับเข้ามาเยี่ยมชมของที่ระลึกและผลงานของพระเอกหนุ่มในอนาคต

หนึ่งปีที่ผ่านมาความรู้สึกของเราเป็นยังไงบ้าง ?
“คิดถึงเขาครับ เหมือนเขาไม่ได้จากเราไป เหมือนเขาแค่ไปทำงาน และด้วยความคิดถึงพ่อก็จะฝันถึงเขาบ่อย บ่อยมากเลย ฝันว่าเขามาหาบ้าง ฝันว่าเขามาคุยบ้าง ซึ่งปกติถ้าหากเราฝันถึงคนที่เขาไปแล้วเขามักจะไม่พูด เขาจะแค่ยืนเฉยๆ แต่ว่าตอนนั้นที่ฝันเขากลับพูด คือเขามาหา เขาเดินเข้ามาทักพ่อ และก็บอกด้วยว่าดีใจไหมที่ปอมา ซึ่งพ่อก็ผลักไหล่เขาไปหาแม่ และเอาจริงๆ พ่อไม่เคยฝันอะไรขนาดนี้มาก่อน แถมพ่อยังถามเขาต่อด้วยนะว่า “ตอนนี้ปออยู่ที่ไหน” เขาก็ตอบพ่อกลับมาว่า “ตอนนี้ปออยู่หนองค่าย” ซึ่งที่ดินตรงนี้เลยครับที่เป็น บ้านหนองค่าย เรียกได้ว่าครั้งนั้นคือฝันที่เป็นเรื่องเป็นราวที่สุด เป็นครั้งแรกเลยครับที่ได้พูดคุยกัน”

ครั้งแรกที่พี่ปอเข้าฝัน เขาเข้ามาในรูปแบบไหน ?
“ก็เดินเข้ามาแต่งตัวธรรมดา เดินมาทักทายเหมือนกันที่มาหากันปกติเลย แต่ว่าเราได้พูดคุยกันแค่สั้นๆ เพราะหลังจากนั้นไม่นานพ่อก็ตื่น ส่วนแม่เขาจะไม่ค่อยฝันถึงเท่าไหร่ แต่แม่เขาจะเป็นคนที่ไปทำบุญบ่อย ไปทำบุญทุกวันพระ ไปทำความสะอาดเจดีย์ เอาดอกไม้ไปวางให้ แม่เขาทำเป็นประจำ และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็จะมีแฟนคลับเดินทางมาหาเขาเป็นประจำเลยนะ"

"มีดอกไม้มาวางให้ตลอด และมีครั้งหนึ่งมาไกลมาก มากจากไต้หวัน มาจากจีน และก็ฮ่องกง คือพวกเขาตั้งใจมาที่บุรีรัมย์เลย เขาบอกพ่อด้วยนะว่าเขาประทับใจที่ปอเป็นคนน่ารัก และก็ชอบการแสดงของปอมาตลอด เป็นแฟนคลับปอมานานแล้ว เขาพูดไทยได้ด้วยนะ เขาบอกว่าตั้งใจเรียนภาษาไทยเพื่อมาหาปอเลย ถามว่าพ่อรู้สึกยังไงบ้าง พ่อก็ดีใจสุดๆ ครับ ดีใจที่เขามีความผูกพันกับเรา และความผูกพันนี้มันคงเกิดจากความรักและความผูกพันที่เขามีต่อปอมันถึงได้ยั่งยืนขนาดนี้ ดีใจที่สุดเลยครับ”

นอกเหนือจากแฟนคลับชาวต่างชาติแล้วยังมีแฟนคลับคนอื่นอีกไหมที่เข้ามาหาหรือพูดคุยกับพ่อ ?
“มีครับ อย่างคนที่มาจัดสวนให้ที่บ้านหลังนี้เขาชื่อคุณหน่อย เป็นนักจัดสวนมืออาชีพ เขาก็มาหาตลอด ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยได้พบกับปอตัวจริงเลยด้วยซ้ำ ไม่เคยได้เจอปอเลยในตอนที่ปอยังมีชีวิต แต่เขาก็เป็นแฟนคลับของปอ ซึ่งพ่อก็ได้ถามเขาเหมือนกันนะว่าทำไมเขาถึงมาจัดสวนให้ที่บ้านไร่ เขาก็บอกว่าเขาชอบปอ เขาเป็นแฟนคลับความดีของปอ”

คุณพ่อรู้สึกยังไงบ้างที่แม้ว่าลูกเราจะจากไปแต่คนก็ยังคิดถึงและยังระลึกถึงเขาอยู่เสมอ ?
“ภูมิใจครับ และพ่อก็รู้สึกด้วยว่าลูกเราคงมีดีอะไรที่คนอื่นเขามองเห็น เขาถึงได้รักลูกเราพอๆ กับเรา หรือรักลูกเราขนาดนี้ พ่อบอกได้แค่ว่าพ่อดีใจครับ พ่ออยากจะเล่าสักเรื่องหนึ่งนะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนดี คือคนดีมันมีหลายแบบ ดีไม่กินเหล้าเมายา ดีไม่เที่ยวกลางคืน นั่นก็คือคนดี แต่คนที่จะได้ใจคนและทำให้คนศรัทธาและรักได้มากขนาดนี้"

"ต้องเป็นคนดีที่เกิดจากการให้ ซึ่งพ่อไม่อยากจะพูดในเชิงเปรียบเทียบนะครับว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เนี่ย ทำไมคนรักท่านอย่างที่ปรากฏ เคารพท่านอย่างที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือคนทั้งโลกล้วนแล้วแต่ก็ยกย่องท่าน เป็นเพราะท่านให้ใช่ไหม ความดีที่เกิดจากท่านให้ ท่านให้ด้วยความจริงใจ ให้ด้วยความรักความเมตตาจริงๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้นะแต่ผมสรุปจากนี้”

คุณพ่อคิดว่าเป็นเพราะอะไรถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแต่คนก็ยังรักลูเราอยู่ ลูกเรายังอยู่ในใจของคนไทย ?
“ความเป็นดาราก็คือจุดหนึ่งครับ แต่ความเป็นดาราแบบไหนมากกว่า อย่างความเป็นดาราของปอ พ่อคิดว่าสิ่งที่ทำให้เขามีคนรักก็คือเขาเป็นดาราที่เข้าถึงง่าย เป็นดาราที่ติดดิน เป็นดาราที่ไม่ใช่ดารา เขามีความเป็นกันเอง และเขาก็มีความหวังดีกับคนอื่นอยากจะช่วยคนอื่น ซึ่งบางอย่างพ่อแม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาได้ช่วยใครเอาไว้ เพราะเขาไม่ใช่คนที่ชอบพูด"

"อย่างข่าวต่างๆ ที่ออกมาว่าเขาไปช่วยคนนั้นคนนี้ตัวพ่อเองก็เพิ่งจะได้ทราบจากข่าวเหมือนกัน คือปอเขาเป็นคนที่ไม่พูดเลย และหลังจากนั้นพ่อถึงได้ทราบอีกว่า เวลาที่คนข้างบ้านไม่สบาย หรือมีคนเฒ่าคนแก่คนไหนเจ็บป่วย ปวดฟัน มาหาเขา มาขอความช่วยเหลือจากเขา เขาก็ช่วยเหลือโดยการให้เงินไปดูแลรักษาตัวเองหมด"

"หรือแม้กระทั่งงานวันเด็กในหมู่บ้าน ทุกๆ วันเด็กเลยนะครับ ปอเขาก็จะเป็นคนจัดหารางวัลมาเล่นเกมมาเล่นกิจกรรมกับเด็กๆ แต่เมื่อวันเด็กที่ผ่านมา ก็มีเด็กข้างบ้านเดินมาถามนะว่าเมื่อไหร่พี่ปอจะกลับมา เพราะไม่มีใครมาจัดงานวันเด็กให้ คือปอเขาก็จะเป็นคนแบบนี้แหละครับ นอกจากนั้นแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่พ่อมีโอกาสได้เห็นก็คือ ปอเขาจะมีความเป็นกันเองกับทีมงานทุกคน ทีมงานในกองถ่ายที่เขาทำงานด้วย สิ่งเหล่านี้แหละครับที่ผมได้มีโอกาสเห็นและก็มีโอกาสได้ทราบจากคนที่เขาเคยให้ความช่วยเหลือหรือเคยพูดคุยด้วย นำมาเล่าให้ฟัง”

เรารู้สึกยังไงในวันที่รู้ว่าลูกชายเราคนนี้ปิดทองหลังพระมาโดยตลอด ?
“ก็มองว่าเราไม่เสียใจที่อบรมสั่งสอนเขาได้แบบนี้ เพราะที่ผ่านมาพ่อก็จะบอกเขาตลอดว่าให้เขานอบน้อมถ่อมตน มีความเมตตา ช่วยเหลือคนอื่น เราก็สอนลูกของเราแบบนี้แหละครับ หรือแม้แต่การที่มีคนมาไหว้พ่อ พ่อก็จะบอกลูกทั้ง 3 คนของพ่อไว้เสมอเลยนะครับว่า ถ้าหากมีใครมาไหว้ ไม่ต้องให้พ่อบอกว่าเขาเป็นใคร ให้ลูกไหว้กลับไปทันทีเลย ไม่ต้องรอให้พ่อบอก ซึ่งเขาก็ปฏิบัติได้ทั้ง 3 คนเลย”

เห็นคุณพ่อเองก็เคยพูดด้วยว่า น้องมะลิ ก็สามารถสัมผัสถึงพี่ปอได้เหมือนกัน ?
“ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าจะด้วยอะไร แต่คือมันมีเหตุการณ์ให้เราเห็น เช่น อยู่ๆ เขาก็ชี้ไปที่จุดๆ หนึ่งและก็ตะโกนเรียก “พ่อปอ พ่อปอ” ทั้งๆ ที่เรามองไม่เห็นอะไรเลย หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาไปถ่ายแบบที่ทะเล โบว์ก็ยังบอกเลยว่าเขาเรียกพ่อปอ คือมันมีให้เห็นบ่อยๆ ครับสำหรับเหตุการณ์อะไรทำนองนี้”

คุณพ่อคิดว่าการที่พี่ปอมาเข้าฝัน หรือแม้กระทั่งมาให้น้องมะลิเห็น อันนี้เกิดจากอะไร ?
“ผมคิดว่าเขาคงห่วงเรา และก็ผูกพันอยู่กับเรา ก็เลยมีความรู้สึกว่าเขาไม่ได้ไปไหน ความคิดถึง ความอาลัยอาวรณ์ ความเสียดาย คือถ้าใครไม่เกิดไม่รู้หรอกครับ อย่างอยู่ดีๆ มันก็วาบขึ้นมาในใจเรา ภาพความทรงจำต่างๆ ที่โผล่ขึ้นมา”

พ่อรู้สึกยังไงบ้างกับการที่มีคนบอกว่าหากเราคิดถึงเขาบ่อยๆ มันจะทำให้เราจมอยู่กับตรงนั้น ?
“แม่ก็บอกอยู่ตลอดครับว่าเราต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้ และเราก็มักจะบอกตัวเองอยู่เสมอว่า เขาไปดีแล้ว เขาไปสบายแล้ว ส่วนเราก็อยู่ดูแลกันไป พยายามนึกถึงความดีของเขาเอาไว้ให้มากๆ แต่ด้วยความที่ปอเขาเป็นลูกคนโต เขาก็จะมีความห่วงพ่อห่วงแม่รักพ่อรักแม่มาก คือเห็นได้ชัดเลย อย่างตัวของพ่อเอง พ่อเป็นคนรักธรรมชาติ รักต้นไม้ ทั้งๆ ที่พ่อไม่ใช่ชาวนา"

"ซึ่งพ่อเคยบอกเขานะว่าเราเป็นคนไทยทำไมเราถึงไม่มีผืนดินพอสมควรบ้าง จากนั้นเขาก็ให้พ่อหาที่เลย และสุดท้ายพ่อก็ได้ที่ผืนนี้มาโดยที่เขาเป็นคนซื้อให้ ปอเขาเอื้อครอบครัวได้เยอะมาก โดยที่ไม่เคยคิดถึงตัวเองเลย เขาคิดถึงครอบครัว คิดถึงพ่อแม่พี่น้องของเขาตลอด ผมก็เลยคิดนะว่าบางทีปอเขาคงเป็นเหมือนคนต้นน้ำ คือถ้าเป็นต้นไม้เขาก็เป็นต้นไม้ต้นน้ำที่อยู่บนภูเขาใหญ่ และก็ไหลลงมาหล่อเลี้ยงจนกระทั่งเกิดสวนสหวงษ์ที่อุดมสมบูรณ์ พ่อมองอย่างนั้นนะครับ"

"พ่อมองว่าพ่อกับแม่ที่ให้กำเนิดเขาเปรียบเสมือนเราได้เพาะต้นไม้ขึ้นมาต้นหนึ่ง และพอจบจากชั้นมัธยมเขาก็เดินทางเข้ากรุงเทพ โดยมีอาอ้อยเป็นคนพาเขาเข้าไปในวงการ ดังนั้นปอจึงเปรียบเหมือนต้นไม้ที่บุรีรัมย์ที่ถูกนำไปปลูกไว้ที่สวนในกรุงเทพ เป็นสวนช่อง 3 มีอาอ้อยเป็นคนรดน้ำพรวนดิน และเมื่อเขาโตขึ้นเขาก็จากเราไป แต่โชคดีที่เขายังมีกิ่งก้านแตกหน่อออกมาเป็นน้องมะลิ ฉะนั้นน้องมะลิถ้ามองจริงๆ แล้ว สิ่งที่เกิดกับมะลิ ผมคิดว่ามันเหมือนมรดก เป็นมรดกที่ปอได้ถ่ายทอดไว้ เหมือนกับเขาเสียสละตัวเองเพื่อให้มะลิมีวันนี้ พ่อคิดแบบนั้นนะ”

เพราะอะไรพ่อถึงคิดแบบนั้น ?
“ก็เป็นเพราะว่าในวันที่เขาป่วยมะลิก็เกิดจากตรงนั้น มันเลยเป็นเหมือนมรดกที่เขาได้มอบเอาไว้ให้มะลิ หรือถ้าจะมองอีกแง่หนึ่งก็คือ เขาได้เสียสละตัวเองเพื่อให้มะลิได้อยู่ ให้มะลิได้มีอย่างนี้ ให้โบว์ได้มีอย่างนี้ พ่อมองว่ามันเป็นการเสียสละของเขา คือความละเอียดอ่อนบางอย่างคนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ แต่ที่เราเห็นมันเป็นลักษณะแบบนี้ครับ”

คุณพ่อคิดว่าน้องมะลิเหมือนกับพี่ปอตรงไหน ?
“จริงๆ ปอเป็นคนห้าวนะครับ แต่ว่าไม่ค่อยเป็นข่าว เขาเป็นคนลุยมาก คือเป็นเด็กผู้ชายจริงๆ เลย ห้าวมาก เป็นดาราที่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการดูแลตัวเอง จนพ่อต้องเตือนให้เขารักษาลุค (หัวเราะ) เพราะเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องการแต่งตัวเลย อาจเป็นเพราะว่าเขาโชคดีด้วยมั้งครับที่ธรรมชาติให้สิ่งดีๆ กับเขามา ทั้งผิว ทั้งจมูก ส่วนน้องมะลิที่พ่อมองว่าเหมือนปอตรงไหนบ้างนั้น พ่อมองว่าเขาสองคนมีตาเหมือนกัน เวลามองชอบมองเชิดๆ เหมือนกัน คือแววตาของเขาเหมือนปอมาก”

“สำหรับบ้านหลังนี้ บ้านที่ปลูกที่ ไร่นาป่าสงวน ที่ๆ เรานั่งอยู่ด้วยกันตรงนี้นะครับ ตอนแรกพ่อตั้งใจว่าจะสร้างให้เสร็จก่อนที่เขาจะเสีย เพื่อให้เขาได้มาพักผ่อน แต่พอเขาป่วยจนกระทั่งเขาจากไป พ่อก็เพิ่งจะมีเวลากลับมาสร้างต่ออีกครั้งจนกระทั่งมันเสร็จสมบูรณ์เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และพ่อก็พยายามจะทำให้มันเป็นที่ๆ เก็บความทรจำของปอเอาไว้ ซึ่งพ่อจะพูดกับน้องกับแม่เขาเสมอนะครับว่า ถ้าหากเราคิดถึงพี่ปอและเรารักพี่ปอจริง เราต้องเก็บทุกๆ อย่างเอาไว้ให้เขา ฉะนั้นทุกอย่างที่อยู่ในบ้านหลังนี้พ่อจะเป็นคนออกแบบหมด มีอะไรวางตั้งไว้ หรือสิ่งที่ที่ปอได้มา ไม่ว่าจะเป็นของฝากจากต่างประเทศ หรือของเล็กๆ น้อยๆ ที่ปอได้มา พ่อก็จะนำมาเก็บไว้ที่นี่ครับ เรียกว่าเป็นอนุสรณ์เล็กๆ เลยก็ได้”

“แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วใจจริงๆ พ่อก็มีความคิดอีกหนึ่งความคิดเหมือนกันนะครับ คือพ่ออยากจะสร้างบ้านหลังหนึ่งขึ้นมา เพื่อทำเป็นพิพิธภัณฑ์ให้กับเขา โดยตั้งชื่อว่า “เรือนทฤษฎี” และนำของเล็กๆ น้อยๆ ที่มีความทรงจำของเขาเข้าไปเก็บรวบรวมไว้ในนั้นครับ ไม่ว่าจะเป็น รูปถ่าย ผลงาน ของขวัญจากแฟนคลับ ซึ่งภาพที่พ่อฝันเห็นว่าปอมาอยู่ที่นี่บ่อยๆ มันก็เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้พ่ออย่างสร้างไว้ให้เขาด้วย ส่วนจะมีโอกาสเกิดขึ้นจริงไหมสำหรับเรือนทฤษฏี เอ่อ…มันก็เป็นความคิดของพ่อเนอะ พ่อก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะคิดเหมือนพ่อไหม แต่ว่าพ่ออยากสร้างให้เขาจริงๆ สร้างเอาไว้ติดๆ กับบ้านหลังนี้เลย”

พ่อตั้งใจให้ภาพของ “เรือนทฤษฎี” ออกมาเป็นแบบไหน ?
“ก็ขอให้เรียบง่ายที่สุดครับ ธรรมดา เป็นกึ่งบ้านสำหรับพักผ่อนและเก็บของ นั่งดื่มกาแฟกันเพลินๆ แล้วถ้าหากมีเวลาก็เข้าไปดูไปเยี่ยมพี่ปอกันสักหน่อย”

“แต่สำหรับบ้านหลังนี้พ่อก็ต้องการสร้างให้ออกมาเรียบง่ายที่สุด เพราะเราอยู่กันแค่คนแก่สองคนตายาย อะไรๆ มันก็จะดูง่ายๆ หน่อย ไม่ต้องกั้นอะไรมาก อย่างรูปที่เห็นในกรอบสีทองสวมชุดโบราณๆ หน่อยก็จะเป็นภาพที่ถ่ายลงในนิตยสารกุลสตรี เป็นการถ่ายแบบครั้งแรกเลยที่ถ่ายคู่กันกับพ่อ ส่วนภาพที่ถ่ายคู่กับแม่ก็จะเป็นภาพงานวันแม่ เป็นงานที่จัดนานมากแล้ว จัดที่เซนทรัลปิ่นเกล้า แต่สำหรับบ้านหลังนี้พ่ออยากเก็บไว้เป็นความทรงจำ เป็นที่ๆ เก็บรวบรวมของที่ปอเขาได้มาจากสถานที่ต่างๆ ทุกสิ่งที่ทุกอย่างวางอยู่มีประวัติหมดเลย จริงๆ ยังมีอีกเยอะมากนะครับที่กรุงเทพ แต่เรายังไม่มีโอกาสได้ไปนำมาเก็บไว้ที่นี่”

เวลาที่เราเห็นรูปของลูกชายเราวางอยู่เรารู้สึกยังไงบ้าง ?
“คิดถึงครับ คิดถึงเขา ก็…ผมมาอยู่ที่นี่เงียบๆ มาอยู่กับแม่เขา เวลานั่งมองภาพเขาก็จะเหมือนกับว่ามันไปกระตุ้นเนอะ กระตุ้นความทรงจำในอดีต โดยเฉพาะละครของเขาพ่อดูไม่ได้เลย หรือแม้กระทั่งเวลาเห็นเพื่อนรุ่นๆ เดียวกับเขา พ่อก็ยังใจหวิวๆ คิดถึงเขา ตอนแรกๆ น้ำตาเราก็ไหลนะเวลาคิดถึงเขา แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้าเราก็เริ่มชิน หลายคนสงสัยว่าพ่อมาอยู่ที่นี่ไม่กลัวเหรอ พ่อบอกเลยได้เลยว่าพ่อไม่กลัว เพราะไม่รู้จะด้วยอะไรนะ แต่ว่าที่นี่ไม่เคยมีโจรขโมย ไม่เคยมีของหายเลย”

ถ้าหากวันนี้พี่ปอรับรู้ได้หรือเขาฟังอยู่ พ่ออยากจะบอกอะไรกับเขาบ้าง ?
“ก็อยากจะบอกเขานะว่า ในเมื่อเขาไปดีแล้วก็อยากให้ครองสุขอยู่ในภพที่ปออยู่ และถึงแม้ปอจะไม่อยู่ที่นี่ แต่ก็ยังมีคนที่รักปออีกมากมายที่เขายังระลึกถึงปอ คิดถึงปอ และมาดูแลพ่อแม่ครอบครัวสหวงษ์แทนปอ ปอไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ ของ พ่อสงวน น้ำตาคลอ อยากสร้าง "เรือนทฤษฎี" เก็บทุกความทรงจำของลูกชาย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook