DSIเคลื่อนเข้าพระธรรมกายย้ำไม่รุนแรงเน้นเบาไปหนัก

DSIเคลื่อนเข้าพระธรรมกายย้ำไม่รุนแรงเน้นเบาไปหนัก

DSIเคลื่อนเข้าพระธรรมกายย้ำไม่รุนแรงเน้นเบาไปหนัก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ดีเอสไอ สั่งเคลื่อนกำลังพลทุกรูปแบบประจำจุดรอบวัดพระธรรมกาย เตรียมจนท.4 พันนาย เน้นปฎิบัติจากเบาไปหาหนัก ขณะที่ พระวัดธรรมกาย 7 รูป อดอาหารประท้วง ยกเลิก ม.44 - ตร.พบโดรนบินเข้าวัด

พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ สั่งเคลื่อนกำลังพลทุกรูปแบบที่อยู่ประจำจุดต่าง ๆ รอบวัดพระธรรมกาย ตามแผนการปฏิบัติที่วางไว้ เพื่อติดตามตัวพระธัมมชโย หลังไม่สามารถเจรจาขอเข้าพื้นที่ได้

โดยมี พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ และกำชับให้ปฏิบัติเน้นจากเบาไปหาหนัก หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ซึ่งหากขณะเข้าปฏิบัติหน้าที่แล้วมีผู้ขัดขวางจะเน้นการพูดคุยเป็นหลัก แต่หากไม่เป็นผลจะเชิญตัวไปดำเนินการตามกฎหมาย และหากเกิดเหตุเผชิญหน้าจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ก็ได้เตรียมแผนรองรับไว้ทั้งหมดแล้ว

ขณะที่ขั้นตอนการเข้าตรวจค้นไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ยืนยันกำลังที่ใช้มีทั้งดีเอสไอ ตำรวจ และทหาร กว่า 4 พันนาย และไม่สามารถระบุได้ว่าจะเสร็จสิ้นเมื่อใด เพราะขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์ และเจ้าหน้าที่จะมีการประชุมสรุปผลอีกครั้งในเวลา 17.00 น.


DSIเผยผลถกวัดพระธรรมกายไม่ยอมให้ค้น

พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ แถลงผลการเจรจาเข้าค้นพื้นที่วัดพระธรรมกาย หาตัว พระเทพญาณมหามุณี หรือ พระธัมมชโย นานกว่า 5 ชั่วโมง ว่า ขณะนี้มีศิษยานุศิษย์จำนวนมากในพื้นที่และยังไม่เข้าใจสถานการณ์ และยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเข้าใจผิด โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้เชิญเเกนนำศิษยานุศิษย์มาพูดคุยทำความเข้าใจ และกลับไปพูดกับกลุ่มลูกศิษย์ที่เหลือ ซึ่งสถานการณ์ดูคล้ายจะราบรื่น แต่กลุ่มมวลชนกลับอ้างว่า ยังไม่เข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐในการตรวจค้นพื้นที่ซ้ำ

ขณะที่ช่วงบ่าย การดำเนินการของทางวัดได้แยกส่วนการปฏิบัติ ซึ่งทาง พระทัตตชีโว ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจสูงสุดของวัดพระธรรมกายขณะนี้ กลับไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ทั้งที่ดีเอสไอพร้อมชี้แจงทุกอย่างและขอเข้าพบ แต่ พระทัตตชีโว กลับปฏิเสธที่จะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่

ซึ่งหลังจากนี้ ดีเอสไอ จะเริ่มบังคับใช้กฎหมายตามขั้นตอนทันที ยืนยันการเสริมกำลังเจ้าหน้าที่ตามประตูต่าง ๆ ไม่ใช่การบุกค้น เเต่เป็นการป้องกันพื้นที่เนื่องจากอาจมีบุคคลอื่นเข้ามาสร้างสถานการณ์ ขณะที่การดำเนินการหลังจากนี้ จะดำเนินการตามกรอบของกฎหมายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน คู่ขนานไปกับการพูดคุย ซึ่งหากบุคคลใดประสงค์ที่จะออกจากพื้นที่ให้ประสานรีบมา และออกจากพื้นที่ทางประตู 7 ตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป โดยเจ้าหน้าที่จะอำนวยความสะดวกให้

อย่างไรก็ตาม รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวด้วยว่าจะนำผลการหารือในการเจรจาครั้งนี้กลับไปประชุม ที่กองบังคับการตำรวจตะเวนชายแดนภาค 1 เพื่อหาแนวทางการปฏิบัติอีกครั้ง


ตร.ตรึงกำลังพร้อมค้นวัดพระธรรมกายพระอดอหารประท้วง

ความเคลื่อนไหวที่ บริเวณประตู 7 วัดพระธรรมกาย ภายหลังการเจรจาของเจ้าหน้าที่และวัดพระธรรมกายไม่เป็นผล จึงขอให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้ตั้งโต๊ะคัดกรองบุคคล ให้ออกจากพื้นที่ โดยมีเจ้าหน้าที่วัดที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์และประชาชน รวม กว่า 10 คน แสดงความจำนงค์ออกจากพื้นที่ ตามที่เจ้าหน้าที่ร้องขอ รวมทั้งมีหน่วยทีมกู้ชีพของมูลนิธิร่วมกตัญญู ได้นำรถพยาบาลมาเพื่อรอรับผู้ป่วยจากภายในวัด หลังได้รับประสานงานมา โดยเบื้องต้นวัดไม่ได้แจ้งจำนวนผู้ป่วย สาเหตุ และไม่ระบุว่าเป็นพระภิกษุหรือฆารวาส ซึ่งทีมแพทย์ได้รับการประสานตั้งเวลาประมาณ 16.00น. ก่อน ที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะประสานนำทีมแพทย์เข้าไปรับผู้ป่วย ซึ่งเป็นหญิงชรา เพียง 1 คนเท่านั้น


โดยบริเวณด้านหน้าประตูทางออกที่ 7 ยังมีเจ้าคณะอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ได้เข้ามาสังเกตการณ์ในพื้นที่ โดยระบุเพียงสั้นๆว่า เดินทางมาเพื่อสังเกตการณ์ ไม่ได้มาพูดคุยกับใครเป็นพิเศษ ก่อนจะเดินทางกลับ

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ พบ โดรน (อากาศญาณไร้คนขับ) สีดำ 1 ลำ พยายามที่จะบินผ่านประตูที่ 7 วัดพระธรรมกายแต่เจ้าหน้าที่พบก่อนจะตัดสัญญาณและนำมาตรวจสอบ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่ใช่ โดรนของดีเอสได้

อย่างไรก็ตาม สำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ทุกประตูของวัดพระธรรมกายขณะนี้ยังคงที่เจ้าหน้าที่ยังคงตรึงกำลัง เตรียมความพร้อมเข้าปฏิบัติในทุกประตู

นอกจากนี้ ล่าสุด ได้มีพระจำนวน 7 รูป ได้เริ่ม อดอาหาร โดยฝ่ายประชาสัมพันธ์วัดพระธรรมกาย บอกว่าจะเริ่ม นั่งสมาธิ อดอาหาร จนกว่าจะมีการยกเลิก ม.44 อันเป็นมาตรการ อารยะขัดขืน ด้วยการนั่งสมาธิ อดอาหาร โดยจะฉันเพียงน้ำอย่างเดียว


DSIจ่อหมายจับพระ14รูป-ขู่คนช่วยพระธัมมชโย

พันตำรวจเอกทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยหลังประชุมติดตามสรุปผลปฏิบัติการเข้าค้นวัดพระธรรมกาย หลังอธิบดีดีเอสไอ สั่งเคลื่อนกำลังพลประจำจุดต่างๆ โดยรอบวัดพระธรรมกาย เตรียมเข้าปฏิบัติการตามแผนที่วางไว้ เนื่องจากไม่สามารถเจรจาขอเข้าตรวจค้นในพื้นที่วัดพระธรรมกายได้ ว่าจนถึงขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่มีการนำกำลังเข้าไปในพื้นที่ เนื่องจากยังต้องประเมินสถานการณ์และหารือร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดความรอบคอบอีกครั้ง ยืนยันว่าจากกรณีที่มีกระแสข่าวเผยแพร่ในโลกโซเชียลว่าจะมีกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 3 พันคน เข้าพื้นที่ค้นภายในวัดเป็นเพียงกระแสการปลุกปั่นให้กลุ่มลูกศิษย์และพระสงฆ์เกิดความเข้าใจผิด และขอยืนยันด้วยว่าในคืนนี้ก็จะไม่มีการนำกำลังเจ้าหน้าเข้าค้นภายในวัดพระธรรมกาย

ส่วนกรณีที่ออกหมายเรียกพระธัมมชโย และพระสงฆ์รวม 14 รูป ให้มารายงานตัว ล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้ไปดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กับพระธัมมชโย พร้อมกับพระสงฆ์ที่มีรายชื่อตามหมายเรียกแล้ว และเตรียมที่จะออกหมายจับต่อไป

อย่างไรก็ตาม โฆษกดีเอสไอ ระบุด้วยว่า การที่เจ้าหน้าที่นำตู้คอนเทนเนอร์ ไปวางไว้ตามจุดต่างๆรอบวัดพระธรรมกาย ว่า เป็น 1 ในมาตรการเตรียมแผนการปฏิบัติที่เจ้าหน้าที่วางไว้ แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด และหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะตรวจเข้มบุคคลที่อยู่ในพื้นที่โดยรอบวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะบัตรประจำตัวประชาชน เนื่องจากเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษตาม มาตรา44 พร้อมฝากเตือนไปยังผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ พระธัมมชโย ที่เป็นบุคคลตามหมายจับ ถือว่ามีความผิด มีอัตราโทษจำคุกสูงสุด ถึง 12 ปี



DSIเตรียมตรวจสอบโดรนปริศนา หลังพบบินเหนือประตู7

เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำเครื่องอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน ที่สามารถใช้อุปกรณ์ตัดสัญญาน ขณะขับเคลื่อนอยู่บริเวณประตู 7 ของวัดพระธรรมกายเมื่อช่วงเย็นที่ผ่าน นำมาเป็นหลักฐานการลงบันทึกประจำวัน เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวได้ถูกประกาศห้ามบินโดรน และจะนำของกลางไปตรวจสอบหาเจ้าของและทิศทางการบินจากกล้องที่ติดอยู่ในเครื่อง

เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ให้การว่าในขณะตนเองกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณในที่เกิดเหตุ และได้เห็นโดรนบินอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงและไม่ทราบที่มาว่าเป็นของใคร จึงใช้เครื่องยิงสัณญาน ที่มีชื่อเรียกว่าแอนตี้โดรน บังคับให้ต่ำลง ก่อนให้เจ้าหน้าที่จับและยึดมาได้ โดยยืนยันว่าโดรนลำดังกล่าวไม่ใช้ของเจ้าหน้าที่ จึงต้องเข้าทำการลงบันทึกประจำวันเพื่อนำเครื่องไปตรวจสอบจากการบันทึกภาพ และจีพีเอสว่าถูกบังคับมาจากที่ใด



แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook