นายกฯเซลฟี่คาดเข็มขัดนิรภัยปัดเพิ่มมาตรการสงกรานต์
นายกรัฐมนตรี เซลฟี่เชิญชวนประชาชนคาดเข็มขัดนิรภัย เพื่อสร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ปัดออกมาตรการเพิ่มช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมระบุชี้ยังไม่สรุปปมนักกิจกรรมชาวลาหู่โยงยาเสพติด ขอหาหลักฐานให้ชัดเจน ยันไม่ตัดสินใครก่อน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ในโซเชียลมีเดียได้มีการเผยแพร่ภาพเซลฟี่ภาพขณะนั่งอยู่บนรถด้านหลังพร้อมคาดเข็มขัดนิรภัย ว่าภาพดังกล่าว นายกรัฐมนตรี ได้ส่งให้กับบุคคลใกล้ชิด เพื่อเป็นแบบอย่างในการคาดเข็มขัดนิรภัย เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนในช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ ภายหลังมีการออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 14/ 2560 เรื่องมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า ภาพที่มีการเผยแพร่ดังกล่าวส่วนตัวเป็นคนถ่ายด้วยตนเอง หากภาพไม่ชัดก็จะถ่ายใหม่ให้ เพื่อเป็นพรีเซ็นเตอร์รณรงค์ในการลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพราะเชื่อว่าไม่มีอะไรทำได้มากไปกว่านี้ เพื่อให้ประชาชนมีจิตสำนึกความรับผิดชอบ ให้นึกถึงว่าชีวิตเป็นสิ่งมีค่า ซึ่งรัฐบาลไม่ได้มุ่งหวังบังคับใช้กฎหมายอะไรมากมาย แต่จะใช้ด้วยความจำเป็น เนื่องจากถูกเรียกร้องมาหลายทางว่ารัฐบาลต้องแก้ไข
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงข้อเรียกร้องอยากให้รัฐบาลเพิ่มมาตรการเป่าแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่รถจาก 50 มิลลิกรัมเหลือ 30 มิลลิกรัม รวมถึงให้ยกเลิกใบอนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ว่า ต้องสร้างความเข้าใจทั้งสองฝ่ายว่าจะปรับกันอย่างไร ไม่ใช่ให้รัฐบาลใช้กฎหมายเข้มข้นไปเรื่อยๆ แล้วไม่ยอมไม่ปฏิบัติตาม
อย่างไรก็ตาม คำสั่งมาตรา 44 ดังกล่าว จะออกมาเช่นนี้ก่อนในระยะแรก เพราะไม่เคยมีกฎหมายเข้มข้นแบบนี้มาก่อน ซึ่งหากใช้กฎหมายแรงไปแล้วกลับปฏิบัติไม่ได้ กฎหมายก็จะเสียหายแล้วรัฐบาลจะทำไปทำไม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจราจร เรื่องภาษีและเรื่องอื่นๆ จะต้องใช้เวลาเพื่อให้ทุกคนปรับตัว เพื่อให้ดีกว่าเดิม เพราะที่ผ่านมาทุกคนทำตามใจตัวเอง เมื่อเกิดเหตุก็กลับมาโทษรัฐบาลและเจาหน้าที่ ซึ่งขอให้ทุกคนรับผิดชอบตัวเองด้วย ทั้งนี้ ยืนยันว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะไม่มีมาตรการใดๆ ออกมาเพิ่มเติม
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีแม่ทัพภาค 3 ออกมาระบุว่านายชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนนักกิจกรรมชาวลาหู่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่สรุป และยังอยู่ระหว่างการสอบสวน โดยต้องหาหลักฐานให้ชัดเจนต่อไปตามกระบวนการ ทั้งนี้หลังสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ ทหารแล้ว จะมีตำรวจและอัยการเข้ามาร่วมสอบสวน ซึ่งต้องพิจารณาจากหลักฐานว่าเป็นอย่างไร ไม่ใช่ตัดสินกันไปก่อนว่าใครถูกหรือผิด ซึ่งส่วนตัวไม่เคยตัดสินใครก่อน หากใครทำผิดคือผิด ทหารทำผิดก็คือผิด ตนเองและสื่อไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ขออย่ารีบตัดสินกันเอง