ผบช.ภาค 5 งัดภาพวงจรปิด "ชัยภูมิ ป่าแส" ต่อสู้ขัดขืน ทหารต้องวิสามัญ

ผบช.ภาค 5 งัดภาพวงจรปิด "ชัยภูมิ ป่าแส" ต่อสู้ขัดขืน ทหารต้องวิสามัญ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผบช.ภาค 5 เผยภาพวงจรปิดชัยภูมิต่อสู้ขัดขืนจนทหารต้องวิสามัญ ด้านกลุ่มเยาวชนต้นกล้า เรียกร้องแยกประเด็นตรวจสอบอย่างมีส่วนร่วม ไขข้อข้องใจให้สังคม

(24 มี.ค.) ความคืบหน้าคดีทหารร้อย ม.2 บก.ควบคุมที่ 1 ฉก.ม.5 ประจำจุดตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ วิสามัญฆาตกรรม นายชัยภูมิ ป่าแส อายุ 21 ปี เยาวชนนักกิจกรรมชาวลาหู่ วัย 21 ปี เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา

ในส่วนของคดีได้มีการตั้งข้อหากับเจ้าหน้าที่ทหารที่วิสามัญนายชัยภูมิแล้ว ซึ่งผู้บังคับบัญชาได้พามามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรนาหวายตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม ขณะเดียวกันตำรวจได้เปิดเผยข้อมูลที่ระบุว่า นายชัยภูมิ มีเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยพบเบาะแสทั้งเส้นทางการเงิน ซึ่งบัญชีของนายชัยภูมิ มีเงินหมุนเวียนเข้าออกผิดปกติ

ส่วนรถยนต์ฮอนด้า แจ๊ส สีดำ ทะเบียน ขก 3774 เชียงใหม่ ที่นายชัยภูมิขับ ก็มีชื่อของ นางแสงหล้า บุญมี นักค้ายาเสพติด ในพื้นที่อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ที่อยู่ระหว่างหลบหนีการจับกุมเป็นเจ้าของ

ล่าสุดวันนี้ พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสิรฐศักดิ์ ผู้บัญชการตำรวจภูธร ภาค 5 ให้สัมภาษณ์ว่า จากกระแสสังคมที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ทหารซ้อมนายชัยภูมิก่อนจะถูกวิสามัญนั้น ข้อเท็จจริงเป็นเพราะนายชัยภูมิขัดขืนการตรวจค้นและจับกุมจึงเกิดการยื้อยุดฉุดกระชากตามยุทธวิธีขึ้น ภาพที่เห็นอาจถูกมองว่าถูกซ้อม แต่อีกด้านหากบริสุทธิ์ใจจริงเหตุใดจึงต้องขัดขืนไม่ยอมให้มีการตรวจค้น

ส่วนกรณีที่กลุ่มนักวิชาการจะจัดสัมมนาในประเด็นการวิสามัญนายชัยภูมิ มองว่าเป็นการสร้างกระแส แต่เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปชี้แจงว่า หากออกมาพูดคุยในช่วงนี้อาจมีผลเสีย แต่ก็ได้รับคำตอบว่าจะมีการพูดคุยกันในเรื่องของหลักการเท่านั้น ซึ่งก็ถือเป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้แต่เจ้าหน้าที่ก็จะเข้าไปสังเกตการณ์ เช่นเดียวกับกรณีของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนจะลงพื้นที่ก็ถือเป็นสิทธิ์ที่ทำได้ตามหน้าที่เช่นกัน

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ดำเนินการไปตามพยานหลักฐานและให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย โดยไม่ได้ไปเร่งรัดเรื่องสำนวนคดี เพราะเจ้าหน้าที่ทราบกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ดีอยู่แล้ว ที่ผ่านมาตำรวจภูธร ภาค 5 พยายามทำงานเชิงรุกตามมาตรการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในกลุ่มของเยาวชนที่ดำเนินการอย่างเข้มข้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ได้ผลพอสมควรจนพี่น้องประชาชนให้ความเชื่อมั่น แต่ยอมรับว่า เครือข่ายยาเสพติดมียุทธวิธีที่เปลี่ยนไปตลอด เช่นเดียวกับกรณีนี้ ที่มีการใช้บุคคลที่มีภาพลักษณ์ดีในสังคมมาเป็นเครือข่าย

ขณะที่กระแสเงินหมุนเวียนในบัญชีของนายชัยภูมิ ซึ่งบางส่วนมองว่า นายชัยภูมิเป็นนักกิจกรรมที่ทำงานกับองค์กรเอกชนอาจมีเงินสนับสนุนจากหลายส่วน ผู้บัญชาการตำรวจภุธรภาค 5 ระบุว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้ดูแค่กระแสเงินหมุนเวียน แต่ที่ผ่านมามีข้อมูลการซื้อขาย และเจ้าหน้าที่ก็ได้ติดต่อล่อซื้อยาบ้าไปแล้ว แต่นายชัยภูมิหนีรอดไปได้หวุดหวิด

ส่วนกล้องวงจรปิดบริเวณด่านบ้านรินหลวง จากการตรวจสอบทราบว่ามีกล้องวงจรปิดอยู่ และจากข้อมูลก็พบว่ามีการขัดขืนและต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ชัดเจน เชื่อว่าทหารจะส่งภาพดังกล่าวมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเพื่อเป็นพยานหลักฐานในคดีเร็วๆ นี้

สำหรับการขยายผลไปยังเครือข่ายยาเสพติดที่นายชัยภูมิติดต่อประสานงานด้วย เจ้าหน้าที่พอทราบเบาะแสแล้วว่าเป็นของเครือข่ายกลุ่มว้า ซึ่งเคลื่อนไหวตามแนวชายแดนในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างจากพื้นที่ดังกล่าวไปเพียง 5 – 10 กิโมเมตรเท่านั้น โดยลูกระเบิดที่พบในวันเกิดเหตุก็เป็นชนิดเดียวกับที่กลุ่มว้าใช้อยู่

นางวิไลลักษณ์ เยอเบอะ ประธานกลุ่มเยาวชนต้นกล้าพื้นเมือง กล่าวว่า อยากให้มีการแยกเรื่องต่างๆ ออกเป็นประเด็นๆไป และควรเปิดให้ทุกฝ่ายได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในทุกข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นร่วมกัน ทั้งเรื่องระเบิด ยาเสพติด การวิสามัญ ซึ่งทุกเรื่องจะต้องมีพยานหลักฐานที่สามารถตอบและอธิบายให้สังคมเข้าใจได้อย่างชัดเจน

"จากนี้ไปทางองค์กรเครือข่ายฯจะติดตามการค้นหาข้อเท็จจริง จากกลไกกลางที่จะถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อคลี่คลายคดีนี้ ตามที่หลายๆ องค์กรได้เรียกร้องเสนอให้แก่รัฐต่อไป"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook