เรืองไกรตั้งคำถามปมวิษณุเสียภาษีชี้ไม่สัมพันธ์กัน

'เรืองไกร' ตั้งคำถาม ปม 'วิษณุ' เสียภาษี ชี้คำนวนทรัพย์สินเพิ่มขึ้นต่อปีกับรายได้ยื่นไว้ล่าสุดไม่สัมพันธ์กัน - ขอ 'วิษณุ' เปิดประวัติเสียภาษี 9 ปี เหตุรวยขึ้นเยอะ

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง กรณีความพยายามในการเรียกเก็บภาษีของกรมสรรพกร ว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีที่ระบุว่าทุกคนมีหน้าที่เสียภาษี และนายวิษณุเคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งจากประวัติการยื่นบัญชีทรัพย์สินทั้ง 4 ครั้ง เมื่อนำมาใส่ตารางเปรียบเทียบแล้วจะพบว่า ตลอดเวลา 9 ปี นายวิษณุ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นกว่า 87.5 ล้านบาท โดยครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2557 นายวิษณุและคู่สมรสยื่นแสดงว่ามีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายรวม 1.2 ล้านบาทและ 1.8 ล้านบาท ตามลำดับ แต่เมื่อคำนวณตัวเลขทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปี 9.7 ล้านบาท กับรายได้ที่ยื่นไว้ครั้งล่าสุด กลับไม่สัมพันธ์กัน โดยทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปีสูงกว่ารายได้ต่อปีครั้งล่าสุดที่แสดงไว้ ทำให้มีเหตุอันควรสงสัยว่า การยื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ผ่านมาตลอด 9 ปีจาก14 มีนาคม 2548  ถึง 4 กันยายน 2557 นั้น นายวิษณุยื่นเสียภาษีไว้ครบถ้วนหรือไม่ อย่างไร

"เรืองไกร"ร้องขอ"วิษณุ"เปิดประวัติเสียภาษี9ปี

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า  ช่วงที่นายวิษณุทเครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งรองนายกฯสมัยทักษิณ  กับพ้นครบหนึ่งปี  ในข่วงวันที่ 24/6/2549 ถึง 24/6/2550  ปรากฏว่า ทรัพย์สินของนายวิษณุและคู่สมรสเพิ่มขึ้นกว่า 11 ล้านบาท และช่วงดังกล่าวอาจเป็นช่วงที่นายวิษณุ มีค่าใช้จ่ายในการส่งลูกเรียนต่อปริญญาโทและเอกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการข้อดูข่าวมูลเพื่อนำมาคำนวณหารายได้ที่เพิ่มขึ้นอีก และนำมาเปรียบเทียบกับยอดการเสียภาษีได้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม นายเรืองไกร เรียกร้องให้นายวิษณุ เปิดเผยประวัติการเสียภาษีที่ผ่านมาตลอดเวลา 9 ปี และตัวเลขค่าใช้จ่ายในการส่งลูกเรียนที่อเมริกา หากพบควรสงสัยที่ควรตรวจสอบ ก็คงจะทำเรื่องไปยังสรรพากรเพื่อประเมินภาษีอีกครั้งหนึ่ง แต่หากนายวิษณุ ได้ยื่นภาษีไว้ถูกต้องแล้ว ก็จะใช้เป็นแนวทางในการตรวจสอบนักการเมืองที่อาจยื่นไม่ถูกต้องต่อไป ขณะเดียวกันส่วนตัวจะเดินไปยื่นหนังสือถึงนายวิษณุ ที่ศูนย์รับเรื่องตรงข้ามทำเนียบ ในวันจันทร์ที่ 3 เมษายนนี้