ประยุทธ์ชี้ขึ้นเงินเดือนขรก.ช่วยงานคสช.เหมาะสม

นายกรัฐมนตรี ชี้ขึ้นเงินเดือน ขรก. ช่วยงาน คสช. เป็นเรื่องความดีความชอบทำงานเพิ่มจากหน้าที่หลัก สั่งหาตัวคนผิดปล่อยกู้ไอแบงค์มาดำเนินคดี ยันกม.ที่ผ่อนปรนช่วงสงกรานต์ยังมีผล

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงกรณีพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนกรณีพิเศษ 2 ขั้น นอกเหนือโควตาปกติและปรับวุฒิข้าราชการ ให้กำลังพลที่ปฏิบัติงานใน คสช. ว่า ค่าตอบแทนเป็นเรื่องสิทธิประโยชน์ของราชการไม่ได้ให้เป็นเงิน เป็นเรื่องของความดีความชอบเหมือนข้าราชการทั่วไป เพราะการทำงาน คสช .หรือ ชายแดนทั่วไป เป็นการเพิ่มหน้าที่จากหน้าที่หลักที่มีอยู่ เมื่อทำงานจึงต้องมีสิทธิประโยชน์ให้บ้าง โดยจะใช้งบประมาณจากต้นสังกัดเดิม ใครสังกัดกองทัพไหนก็ใช้งบประมาณของกองทัพนั้น เพราะทำงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการฟื้นฟูธนาคารอิสลาม หรือ ไอแบงค์ ที่เกิดปัญหาสภาพคล่อง ว่าจะต้องดำเนินคดีกับผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหาย การปล่อยกู้ไม่ถูกประเภททำให้เกิดปัญหา หากไม่ทำแบงค์ก็ล้ม หรือหากปล่อยให้ล้มก็จะมีคดีฟ้องร้องที่ไม่ว่ายังไง รัฐก็ต้องเสียเงินอยู่ดี ซึ่งเรื่องดังกล่าวยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

ทั้งนี้ ธนาคารอิสลามมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่หากจะให้บริการเฉพาะมุสลิมอย่างเดียวคงไม่พอ จึงต้องหามาตรการที่รัดกุม ซึ่งพยายามแก้มา 13 ปีแล้ว แต่เพราะมีหนี้จำนวนมาก จึงต้องไล่ตรวจสอบผู้กระทำความผิดทางกฎหมายมาดำเนินคดีต่อไป

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงสถิติอุบัติเหตุทางถนนของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน หรือ ศปถ. ว่า ส่วนตัวได้รับรายงานสถิติการเกิดอุบัติเหตุ ในช่วงสงกรานต์ทุกวันและสั่งการให้หาสาเหตุที่เกิดขึ้น เบื้องต้นจากรายงานระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 390 ราย บาดเจ็บ 3,808 คน และยังเป็นสาเหตุเดิมคือเมาแล้วขับ ขับรถเร็ว และไม่สวมหมวกนิรภัย โดยรถจักรยานยนต์เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด พร้อมทั้งขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง รวมกว่า 3 แสนนาย ในกาทำหน้าที่อำนวยการความสะดวกให้กับประชาชนในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตามบริเวณชายแดนต่างๆ ที่เตรียมรองรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น 

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ส่วนกฏหมายต่างๆที่ได้ผ่อนปรนในช่วงเทศกาลยังคงบังคับใช้อยู่ ขออย่ายกมาสร้างความขัดแย้ง รัฐบาลเข้าใจแต่ขอให้ใช้เวลาปรับตัวให้ได้ด้วย แม้ว่าสถิติจะลดลงแต่ยังไม่พอใจกับสถิติดังกล่าว และไม่ได้โทษเจ้าหน้าที่ เพราะเจ้าหน้าที่ทำได้เพียงเท่านี้ตามกฏหมาย ดังนั้นต้องยกเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ในการดูแลตัวเอง เพราะไม่มีใครดูแลชีวิตใครได้เท่าตัวเอง และสิ่งสำคัญต้องแก้ไขต้นเหตุด้วยการสร้างจิตสำนึก เนื่องจากสังคมยังขาดในส่วนนี้ เพราะอาจจะเคยชินกับความรุนแรงและขาดการยับยั้งชั่งใจ จึงเกิดความขัดแย้งกันไปหมด