รวบแก๊งโคลัมเบีย-เมียไทย ตระเวนลักทรัพย์ของกลาง 200 รายการ

รวบแก๊งโคลัมเบีย-เมียไทย ตระเวนลักทรัพย์ของกลาง 200 รายการ

รวบแก๊งโคลัมเบีย-เมียไทย ตระเวนลักทรัพย์ของกลาง 200 รายการ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตร.รวบแก๊งโคลัมเบีย รวมหัวเมียคนไทย ตระเวนลักทรัพย์ตามหมู่บ้านในกทม.-ปริมณฑล ได้ของกลาง 209 รายการ มูลค่าหลายล้านบาท พบพฤติกรรมเช่ารถแล้วเปลี่ยนแปลงทะเบียนก่อนขับตระเวนแล้วลงไปกดกริ่ง หากบ้านไม่มีคนอยู่ ฉวยจังหวะยกเค้า แถมปลอมบัตรนักข่าวโชว์หากถูกตร.เรียกตรวจ ตร.ล่าอีก 3 รายร่วมแก๊ง


เหตุตำรวจสามารถจับกุมแก๊งคนร้ายชาวโคลัมเบียออกลักทรัพย์ตามหมู่บ้านรายใหญ่ เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. พ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี รอง ผบก.ศส.บช.น. พ.ต.อ.พันธุ์เทพ ธรรมจารี ผกก.ศส.บช.น. พ.ต.อ.สุทิพย์ ผลิตกุศลธัช ผกก.สน.ธรรมศาลา และ พ.ต.ท.สุคนธ์ ศรีอรุณ รอง ผกก.ศส.บช.น. แถลงข่าวผลงานการบูรณาการฝ่ายสืบสวนของ ศส.บช.น. ศส.ภ.จว.นนทบุรี และ สน.ธรรมศาลา ร่วมกันจับกุมนายอัลวาโร โกเมซ เปอเดโรส อายุ 33 ปี นายอเดลโม การ์เซีย อาร์เดีย อายุ 40 ปี ทั้งสองรายเป็นชาวโคลัมเบีย และ น.ส.วลัยพร คณา อายุ 25 ปี ภรรยาของนายอเดลโม พร้อมของกลาง บัตรผู้สื่อข่าวสังกัดเอ็นยูเอส เซอร์วิส ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบัตรปลอม เครื่องเพชรทองรูปพรรณ พระเครื่อง โทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูปดิจิทัล คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เงินสด และทรัพย์สินมีค่าจำนวน 209 รายการ รวมมูลค่าหลายล้านบาท โดยจับกุมนายอเดลโมและ น.ส.วลัยพร ได้ภายในห้องเลขที่ 28/268 อาคารลุมพินีวิลล์ ย่านปิ่นเกล้า ก่อนขยายผลไปตามจับกุมตัวนายอัลวาโร ได้ที่ห้องเลขที่ 171/532 อาคารรัตนโกสินทร์ไอซ์แลนด์ ตรงข้ามห้างสรรพสินค้าพาต้า ปิ่นเกล้า

พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากตำรวจได้รับแจ้งเหตุลักทรัพย์ตามเคหสถานหลายครั้งในพื้นที่นครบาล จ.นนทบุรี และ จ.สมุทรปราการ จึงประสานไปยัง พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ภ.1 เพื่อหาแนวทางในการสืบสวนร่วมกัน โดยมอบหมายให้ ศส.บช.น. ศส.ภ.จว.นนทบุรี และฝ่ายสืบสวน สน.ธรรมศาลา ทำการบูรณาการกำลังออกติดตามหาเบาะคนร้าย กระทั่งทราบว่ามีพยานในท้องที่ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และท้องที่ สน.บางเขน ให้ข้อมูลตรงกันเกี่ยวกับรูปพรรณแก๊งคนร้ายซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ใช้รถเก๋งทะเบียน ศจ 2470 กรุงเทพมหานคร เข้าไปก่อเหตุในหมู่บ้าน ชุดสืบสวนจึงใช้การผันตัวเลขทะเบียนรถเก๋งคันดังกล่าวจนทราบว่าเป็นรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า วิช สีดำ มีหมายเลขทะเบียนที่แท้จริงคือ ศจ 2170 กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในความครอบครองของบริษัทรถเช่า บจก.สาธรคาร์เร้นท์ ย่านสาทร จึงไปตรวจสอบ จนได้เบาะแสของคนร้ายผู้ที่เช่ารถในวันและเวลาที่ก่อเหตุจากหนังสือเดินทาง และติดตามไปขยายผลจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 คนไว้ได้ที่ห้องพักพร้อมของกลางซึ่งยังประเมินมูลค่าไม่ได้ เพราะเป็นทรัพย์สินรวมกันถึง 209 รายการ

นายอเดลโม ให้การทั้งน้ำตาว่า เดินทางเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนานแล้ว จนมีภรรยาเป็นชาวไทย ก่อนก่อเหตุได้ไปเช่ารถแล้วนำดินน้ำมันหรือเทปกาวมาติดดัดแปลงหมายเลขทะเบียน เช่นเปลี่ยนจากเลข 3 ให้เป็นเลข 8 หรือเปลี่ยนจากเลข 1 ให้เป็นเลข 4 เป็นต้น จากนั้นก็จะขับพาภรรยาชาวไทยและเพื่อนๆ ในแก๊งทั้งชายและหญิงตระเวนตามหมู่บ้านใหญ่ๆ ที่ รปภ.ไม่ค่อยเข้มงวดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยวางแผนให้ผู้หญิงลงไปกดออดบ้านเป้าหมาย หากมีผู้อาศัยเดินออกมาก็จะอ้างว่ามาผิดบ้าน แต่ถ้าแน่ใจว่าไม่มีใครพักอยู่ในบ้านก็จะส่งทีมงานที่มาด้วยกันปีนเข้าไปลักทรัพย์ ตนจะขับวนไปเรื่อยๆ ในหมู่บ้านเพื่อดูลาดเลาและรอสัญญาณจากทีมงานที่เข้าไปก่อเหตุให้ขับรถไปรับ ส่วนสาเหตุที่ต้องมายึดอาชีพตีนแมวในประเทศไทยเนื่องจากต้องหาเงินส่งไปรักษาแม่ ที่ป่วยอยู่ในประเทศโคลัมเบีย และต้องการหาเงินค่าเช่าห้อง สำหรับบัตรผู้สื่อข่าวที่ตำรวจยึดได้นั้นเป็นบัตรที่นายเออร์สัน นีโอ หัวหน้าแก๊งที่ยังหลบหนี ไปทำปลอมมาให้จากย่านถนนข้าวสาร เพื่อเอาไว้ใช้แสดงตัวยามถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้น

ด้านนายอัลวาโร ให้การว่า ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ที่บริษัทขายน้ำดื่มแห่งหนึ่งในประเทศโคลัมเบีย ต่อมาถูกคนร้ายก่อเหตุชิงทรัพย์และถูกยิงเข้าที่ฝ่ามือข้างขวา จนมือไม่สามารถใช้การได้ เมื่อมีโอกาสเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ถูกคนในแก๊งซึ่งเป็นชาวโคลัมเบียชักชวนให้ร่วมก่อเหตุ โดยให้ตนทำหน้าที่งัดเซฟ จึงยึดอาชีพนี้เรื่อยมาเพราะคิดว่าตำรวจไทยคงไร้ความสามารถ ส่วนทรัพย์สินที่ได้มาหัวหน้าแก๊งจะเอากลับไปขายที่โคลัมเบีย และตามตลาดมืด ก่อนที่จะนำส่วนแบ่งมาให้ส่งไปจุนเจือครอบครัวและใช้จ่ายประจำวัน

พ.ต.อ.สุทิพย์ กล่าวว่า คนร้ายต่างชาติแก๊งนี้มีสมาชิกที่ยังอยู่ในประเทศไทยอีกกว่า 30 คน โดยจำนวนนี้เป็นหัวหน้าแก๊ง 2-3 คน ส่วนใหญ่จะกบดานอยู่ตามย่านถนนข้าวสาร และถนนสาทร (ซอย 1) โดยวิธีการก่อเหตุก็จะไปเช่ารถตามเต็นท์ไว้เป็นพาหนะ ก่อนนำมาเปลี่ยนตัวเลขทะเบียนด้วยวิธีง่ายๆ เช่นเอาเทปกาวสีดำปิด หรือใช้ดินน้ำมันแปะ แล้วพากันขับตระเวนไปดูบ้านเป้าหมายในหมู่บ้านใหญ่ๆ ที่มีทางเข้าออกหลายทาง และเจ้าหน้าที่ รปภ.ไม่เข้มงวดมากนัก เมื่อสบโอกาสก็จะลงมือก่อเหตุทันที โดยท้องที่ สน.ธรรมศาลา มีผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายยกเค้าไปแล้วจำนวน 3 คดี

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบเบาะแสของผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีแล้วจำนวน 3 คน ได้แก่ นายเออร์สัน นีโอ อายุ 30 ปี นายโธร์นเลต แอนนี่ อายุ 45 ปี และ น.ส.เชาลิน ดิยานา อายุ 33 ปี ซึ่ง 2 รายแรกเป็นผู้ต้องหาที่ใช้พาสปอร์ตปลอมทำหน้าที่บุกเข้าไปในบ้านเป้าหมายเพื่อลักทรัพย์ ส่วนรายที่ 3 ทำหน้าที่กดออดเพื่อเช็กว่าบ้านเป้าหมายมีผู้พักอาศัยหรือไม่ เบื้องต้นชุดจับกุมแจ้งข้อกล่าวหา "ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถาน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ โดยเข้าทางช่องทางซึ่งจัดทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปให้พ้นการจับกุม โดยมีหรือใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการหลบหนีหรือรับของโจร" แก่ผู้ต้องหาที่จับกุมมาได้ทั้ง 3 คน ส่วนผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีนั้นจะออกหมายจับก่อนติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากการตรวจข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังมีรถที่ผู้ต้องหาแก๊งนี้ไปเช่าจาก บจก.สาธรคาร์เร้นท์ แล้วนำมาเปลี่ยนแปลงหมายเลขทะเบียน เพื่อนำไปใช้ก่อเหตุอีกจำนวนหลายคัน จึงเชื่อได้ว่าน่าจะเคยพากันไปตระเวนก่อเหตุในหลายพื้นที่มาแล้วหลายครั้งไม่เว้นแม้แต่บ้านผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง จึงอยากประชาสัมพันธ์แจ้งให้สถานีตำรวจในเขตนครบาลและปริมณฑล หรือจังหวัดอื่นๆ ที่มีคดีในลักษณะดังกล่าวช่วยแจ้งผู้เสียหายให้มาดูตัวผู้ต้องหา และทรัพย์สินของกลางได้ที่ ศส.บช.น.

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook