ฆ่าโหดเศรษฐีนีเจ้าของสวนลำไย วัย 70 ปี ตีหัวยุบชิงเงิน

ฆ่าโหดเศรษฐีนีเจ้าของสวนลำไย วัย 70 ปี ตีหัวยุบชิงเงิน

ฆ่าโหดเศรษฐีนีเจ้าของสวนลำไย วัย 70 ปี ตีหัวยุบชิงเงิน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

(11 มิ.ย.) เมื่อเวลา 06.30 น. ร.ต.ท.สมพงษ์ บุญไทย ร้อยเวร สภ.บ้านแปลง อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รับแจ้งเหตุฆาตกรรม บริเวณริมสวนลำไยภายในหมู่บ้านคลองบอนหมู่ 4 ต.หนองตาคง อ.โป่งน้ำร้อน จึงรุดไปที่เกิดเหตุพร้อมเจ้าหน้าที่ ที่เกิดเหตุอยู่ห่างจากถนนสายหลักหมู่บ้านคลองบอนเข้าไปภายในริมสวนลำไยกว่า 200 เมตร พบร่างนางวิไล อายุ 70 ปี นอนหงายในเสื้อผ้าชุดคลุม หน้าผากและศีรษะยุบไปครึ่งซีกจากการถูกทุบด้วยของแข็งอย่างรุนแรง ห่างจากร่างผู้ตาย พบท่อนไม้ 1 ท่อน โดยเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง

บริเวณปากทางเข้าสู่สวนลำไย ห่างจากร่างนางวิไลกว่า 200 เมตร พบรถกระบะโตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ 4 ประตูสีดำ ทะเบียน กท 8158 จันทบุรี พลิกตะแคงกลางท้องร่องริมถนน ตรวจสอบภายในรถพบเอกสารต่าง ๆ ของรถกระบะคันดังกล่าวว่าเป็นรถของนางวิไล และเศษชิ้นเนื้อมนุษย์ติดอยู่บริเวณประตูริมประตูห้องผู้โดยสาร

จากการสอบสวนนายปรีดา อายุ 43 ปี หลานชายผู้ตาย ทราบว่า นางวิไลเป็นคนที่มีฐานะดี ทำสวนลำไยหลายร้อยไร่ในจำนวนหลายแปลง มีลูกจ้างทั้งคนไทย คนกัมพูชาทำงานด้วยจำนวนมาก รวมทั้งยังเป็นแม่ยายของนายทหารรายหนึ่ง ก่อนที่นางวิไลจะเสียชีวิต คืนวันที่ 10 มิ.ย. นางวิไลและลูกน้องพากันไปเที่ยวร้านคาราโอเกะภายใน อ.โป่งน้ำร้อน โดยใช้รถกระบะคันที่ตกท้องร่องเป็นพาหนะ กระทั่งจ่ายค่าอาหาร นางวิไลมีเงินติดตัวไม่พอชำระ จึงนั่งรถคันดังกล่าวพร้อมด้วยลูกน้องกลับมายังสวนลำไยเพื่อนำเงินไปชำระค่าอาหาร แต่ปรากฏว่ามาเสียชีวิตในบริเวณที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยเงินที่นางวิไลกลับมาเอาก็หายไปด้วย

จากการที่เจ้าหน้าที่ได้ประเมินสภาพที่เกิดเหตุและเศษชิ้นเนื้อมนุษย์ที่ติดอยู่กับประตูรถของนางวิไล พบว่าคนร้ายลงมืออย่างใจเย็น รอให้นางวิไลกลับไปนำเงินก่อน เมื่อมาถึงรถกระบะของนางวิไลจึงทุบด้วยของแข็ง กระทั่งเศษชิ้นเนื้อจากร่างกายนางวิไลกระเด็นหลุดไปติดประตู จนแน่ใจว่านางวิไลเสียชีวิตแล้ว คนร้ายจึงได้นำเงินและรถกระบะไป แต่เมื่อถึงจุดเกิดเหตุ รถเสียหลักตกในท้องร่อง จึงจำเป็นต้องทิ้งรถหลบหนี เจ้าหน้าที่คาดเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ซึ่งจะได้ติดตามหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook