สถาบันอาหาร ชี้ภัยสารอันตรายบีพีเอ ในขวดพลาสติก

สถาบันอาหาร ชี้ภัยสารอันตรายบีพีเอ ในขวดพลาสติก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
สารบีพีเอเป็นสารเคมีที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม สารเคลือบกระป๋องอาหาร เครื่องมือการแพทย์บางชนิด นักพิษวิทยาระบุมีผลต่อพัฒนาการต่อมลูกหมาก สมอง ทารกในครรภ์ นำไปสู่โรคหัวใจ เบาหวาน ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า ปัจจุบันการเลือกรับประทานอาหารแต่ละวัน นอกจากต้องระมัดระวังการปนเปื้อนของสารเคมีและเชื้อก่อโรคชนิดต่างๆ ในอาหารแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสารที่เป็นองค์ประกอบของภาชนะที่ใช้บรรจุอาหารด้วย โดยเฉพาะเด็กทารกและเด็กเล็ก ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มที่จะได้รับความเสี่ยงจากอันตรายเหล่านี้สูงที่สุด เพราะเป็นกลุ่มที่อ่อนแอและมีภูมิคุ้มกันต่ำ

โดยเฉพาะขวดนมและอาหารสำหรับเด็กที่บรรจุกระป๋อง เพราะภาชนะเหล่านี้อาจมีสารอันตรายที่ชื่อ บีพีเอ (BPA)หรือบิสฟีนอลเอ (Bisphenol A : BPA) สารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตพลาสติกแข็งใสที่เรียกว่าโพลีคาร์บอเนต (polycarbonate) แพร่กระจายออกมาปนเปื้อนในนมและอาหารทารกได้

นอกจากนั้นบีพีเอยังเป็นองค์ประกอบของสารอีพอกซี เรซิน (epoxy resins) สารเคลือบผิวโลหะด้านในของกระป๋องสำหรับบรรจุอาหารและเครื่องดื่มเพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาระหว่างแผ่นโลหะกับอาหารที่อาจทำให้เกิดการกัดกร่อนที่เนื้อโลหะของกระป๋องอีกด้วย

แคนาดานับเป็นประเทศแรกในโลกที่กำหนดระเบียบจำกัดการใช้สารบีพีเอ และให้สารบีพีเอเป็นสารอันตราย โดยได้เร่งดำเนินการ ร่างระเบียบห้ามการนำเข้า การขาย การโฆษณาขวดสำหรับทารกที่ผลิตจากพลาสติกชนิดโพลีคาร์บอเนต ซึ่งมีสารบีพีเอ เป็นองค์ประกอบ และดำเนินการจำกัดปริมาณการปลดปล่อยสารบีพีเอลงสู่สิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีข้อมูลว่าสารบีพีเอจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน การพัฒนาหรือขีดความสามารถในการสืบพันธุ์ โดยคาดว่าระเบียบข้างต้นจะมีผลบังคับใช้ในปี 2553

นอกจากนั้นรัฐบาลแคนาดายังประกาศจัดสรรงบประมาณกว่า 1.7 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือ 1.07 ล้านยูโรในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า สำหรับดำเนินโครงการวิจัยเกี่ยวกับสารบีพีเอ เพื่อนำข้อมูลมาใช้สนับสนุนการตัดสินใจการออกมาตรการในอนาคต ขณะเดีกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งแคนาดายังออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการห้ามใช้สารบีพีเอ อย่างสมบูรณ์อีกด้วย

ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า แม้ว่าแคนาดาเป็นประเทศแรกที่ทำการทบทวนและกำหนดระเบียบการจำกัดการใช้สารบีพีเอ ในขณะที่ประเทศอื่นมองว่ายังไม่จำเป็นต้องจำกัดการใช้สารบีพีเอ อาทิ สหรัฐอเมริกาอียู ญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการของไทยที่ผลิตสินค้าที่ต้องบรรจุในภาชนะพลาสติกหรือภาชนะกระป๋องที่ส่งออกไปยังประเทศแคนาดา ควรเพิ่มความระมัดระวังไม่ให้มีสารบีพีเอปนเปื้อนมากับสินค้าส่งออก เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาถูกกักกัน ทำลายและห้ามจำหน่ายสินค้าของไทยในตลาดแคนาดา ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในแคนาดาได้

ในขณะที่ผู้ผลิตสินค้าพลาสติก ภาชนะพลาสติก และผู้ผลิตกระป๋องที่ใช้อีพ็อกซีในการเคลือบผิวควรเร่งปรับกระบวนการผลิต โดยระมัดระวังการใช้สารบีพีเอเป็นวัตถุดิบ และควรลดปริมาณการใช้หรือใช้ส่วนผสมที่ปราศจากสารบีพีเอ โดยหันไปใช้วัตถุดิบอื่นที่อยู่ในรายการ Positive list ตามที่กฎหมายของแคนาดากำหนดเพื่อป้องกันปัญหาการปนเปื้อนลงสู่อาหารในอนาคต

ปัจจุบันแคนาดาจะเป็นเพียงประเทศเดียวที่ออกมากำหนดมาตรการเข้มงวดเกี่ยวกับสารบีพีเอทั้งการใช้และการปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม แต่หน่วยงานภาครัฐไทยไม่ควรเพิกเฉยต่อความเคลื่อนไหวนี้ ควรเร่งพิจารณาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อศึกษาและประเมินว่าสารบีพีเอ มีความเสี่ยงต่อเด็กแรกเกิด เด็กทารกและผู้บริโภคในประเทศไทยหรือไม่ แล้วทำการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องไปสู่ผู้บริโภคกลุ่มเสี่ยง ผู้ประกอบการอาหารและบรรจุภัณฑ์ของไทย ฉะนั้นจึงเป็นภารกิจสำคัญที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันประชากรรุ่นใหม่ของไทยจากอันตรายที่ไม่ควรจะต้องได้รับ และป้องกันปัญหาถูกกักกัน ทำลายและห้ามจำหน่ายสินค้าไทยในตลาดแคนาดา

อย่างไรก็ตาม สารในพลาสติกอาจตกค้างในร่างกายนานกว่าที่คิด ด้วยคณะนักวิจัยสหรัฐระบุ สารบิสฟีนอล เอ (บีพีเอ) ซึ่งใช้ในการผาสติกอาจตกค้างในร่างกายคนเรานานกว่าที่คิด และบางคนอาจได้รับสารนี้เข้าไปในร่างกายจาก

แหล่งอื่นนอกจากอาหารได้

โดยดร.ริชาร์ด สตาห์ลฮัท แห่งมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ และคณะ ได้ศึกษาระดับสารบีพีเอในปัสสาวะของคนอเมริกันจำนวน 1,469 คน ซึ่งเป็นการสำรวจของรัฐบาลสหรัฐ โดยให้กลุ่มตัวอย่างอดอาหารเป็นเวลา 8 ชั่วโมงครึ่ง แล้ววัดระดับสารบีพีเอในปัสสาวะ พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับสารบีพีเอตกค้างในร่างกายเท่ากับคนที่อดอาหารนาน 24 ชั่วโมง คณะนักวิจัยคาดว่า นอกเหนือจากอาหารแล้วคนเรายังรับสารนี้เข้าสู่ร่างกายจากแหล่งอื่นด้วย เช่น น้ำจากท่อ หรือละอองฝุ่นในบ้าน ซึ่งสารบีพีเออาจเข้าไปในเนื้อเยื่อไขมันซึ่งร่างกายจะขับออกได้ช้าลง

อย่างไรก็ตาม สภาเคมีอเมริกัน ระบุว่า ผลของการศึกษาครั้งใหม่นี้เป็นเพียงการคาดเดา และเห็นว่าสารบีพีเอมีความปลอดภัยหากร่างกายได้รับในระดับไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้

สารบีพีเอเป็นสารเคมีที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม สารเคลือบกระป๋องอาหาร เครื่องมือการแพทย์บางชนิด และสามารถเข้าสู่ร่างกายคนเราได้จากการบริโภคเครื่องดื่มหรืออาหารที่บรรจุในบรรจุภัณฑ์เหล่านี้ นักพิษวิทยาแห่งสภาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐเคยแสดงความวิตกว่า สารบีพีเออาจมีผลเสียต่อพัฒนาการของต่อมลูกหมาก สมอง และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวทารกในครรภ์ ทารก และเด็ก ขณะที่ผลศึกษาของคณะนักวิจัยอังกฤษเมื่อปี2551 พบว่า สารบีพีเอที่สะสมในร่างกายในปริมาณสูงมีความเชื่อมโยงกับโรคหัวใจ และเบาหวาน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook