ต้องพูด-ต้องคิด
ล็อกล้อ
หลังจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ได้เข้ามาบริหารประเทศตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน
นโยบายแรก ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลจะนำมากอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น คือการใช้งบประมาณแสนกว่าล้านในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบโดยตรง รัฐบาลเลือกวิธีจ่ายเงิน 2 พันบาท ให้กับผู้ประกันตน ที่มีเงินรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 14,999 บาท
หลังการกำหนดนโยบายนี้ออกมา ก็ต้องเสียเวลาอีกพักใหญ่ ในการหาวิธีที่เหมาะสมในการนำเงินส่งให้ถึงมือประชาชน
จนมาได้ข้อสรุปว่าจะจ่ายเป็นเช็คสั่งจ่าย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ส่วนนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้ในการหาเสียง อย่างการเรียนฟรี 15 ปี เมื่อมาเป็นรัฐบาลก็เร่งเดินหน้าผลักดันนโยบายนี้ให้สามารถจัดการเรียนฟรีได้ภายในภาคเรียนที่ 1/2553 นี้
หลังการกำหนดว่าจะให้ฟรีในรายการไหนบ้าง พร้อมสรุปงบประมาณที่ต้องใช้ในการบริหารจัดการ
โดยรัฐบาลต้องใช้งบประมาณราว 1.9 หมื่นล้านบาท
แต่ที่น่าแปลกคือ การดำเนินนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ที่พรรคประชาธิปัตย์พูดถึงมานานกว่า 2 ปีแล้ว ต้องมาเสียเวลาอยู่กับการกำหนดขั้นตอนจะจัดชุดนักเรียน และอุปกรณ์การศึกษาฟรีอย่างไร
สุดท้ายเมื่อสัปดาห์ก่อนก็ได้ข้อยุติว่า จะจ่ายเงินลงไปที่โรงเรียนให้ผู้ปกครองมารับเงินไปซื้อของเอง แล้วค่อยเอาใบเสร็จมาแสดง
วิธีการนี้มีเสียงวิจารณ์ตามมาไม่น้อย ซึ่งยังไม่รู้จะนำกลับไปทบทวนอย่างไรบ้างหรือไม่
น่าแปลกที่รัฐบาลมีนโยบายออกมาแล้ว แต่ไม่มีวิธีดำเนินนโยบาย
โดยเฉพาะเรื่องการเรียนฟรี 15 ปี ที่มีกทม.เป็นต้นแบบในการกำหนดนโยบายอยู่แล้ว
แต่พอถึงขั้นตอนปฏิบัติกลับปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินการให้เกิดข้อครหาเพิ่มขึ้น
ที่น่าสนใจคือการบริหารงานในกทม. ภายใต้การดูแลของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. จะเป็นอย่างไรต่อไป
จะพูดก่อนแล้วค่อยหาวิธีทำ หรือคิดอ่านจนรอบคอบแล้วค่อยบอกว่าจะทำอะไร