มหากาพย์ “เสี่ยเอ็ม” ชนยับ จับเละ รอดคุก

มหากาพย์ “เสี่ยเอ็ม” ชนยับ จับเละ รอดคุก

มหากาพย์ “เสี่ยเอ็ม” ชนยับ จับเละ รอดคุก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วินาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จักนายชลวิทย์ หรือ เสี่ยเอ็ม เจ้าของฉายา เสี่ยเอ็ม หลานอาม่า “เรียก 20 กว่าล้าน เอาฉันไปฆ่าดีกว่า ฉันจะไปเอาที่ไหน”นี่คือคำพูดของอาม่าที่ได้กล่าวไว้ในรายการ ต่างคนต่างคิด ซึ่งภายหลังกลายมาเป็นที่มาของฉายาเสี่ยเอ็ม หลานอาม่า

หากย้อนไปเมื่อปี 2555 ขณะที่ นายชลวิทย์ หรือ เสี่ยเอ็ม หลานอาม่า ในวัย 18 ปีได้ขับรถมินิคูเปอร์ที่อาม่าซื้อให้ด้วยเงินสดราคาเกือบ 3 ล้านบาท พุ่งชนคนที่ลงไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชนกันบนสะพานพระราม 9 จนได้รับบาดเจ็บถึง 4คน เมื่อคืนวันที่ 19 พ.ค.2555 ก่อนที่จะหลบหนีไปและกลับเข้ามามอบตัวในภายหลัง ซึ่งครั้งนั้นมีการเจรจากันจนเป็นที่น่าพอไปและคดีก็เงียบหายไป

จนมาถึงวันที่ 22 เม.ย. 2560 มีข่าวรถยนต์ปอร์เช่พุ่งชนรถจักรยานยนต์ที่กำลังจอดอยู่บริเวณริมถนนคลองลำเจียก เขตบึงกุ่ม โดยพุ่งชนคนขับและคนซ้อน ก่อนพุ่งขึ้นไปชนคนบนทางเท้ารวมทั้งสิ้น 3 ราย ทั้งหมดอาการสาหัส ซึ่งหลังจากการตรวจสอบพบว่าคนขับคือนายชลวิทย์ หรือ เสี่ยเอ็ม อายุ 23 ปีในขณะนั้น และเป็นคนคนเดียวกันที่เคยก่อเหตุขับรถมินิคูเปอร์ชนผู้บาดเจ็บ 4 ราย

yyy9o

จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบข้อมูลที่น่าตกใจอีกว่าเหยื่อทั้ง 4 รายยังไม่ได้รับเงินเยียวยาจากคู่กรณีอย่างเหมาะสมซึ่งเวลาก็ผ่านมากว่า 5 ปีแล้ว

คดีนี้มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากผู้เสียหาย 3 ราย ส่วนผู้เสียหายอีกรายไม่ได้ร่วมฟ้อง โดยศาลได้มีคำตัดสินเมื่อปี 57 ให้ฝ่ายนายชลวิทย์ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายทั้ง 3 ราย จำนวน 14 ล้านบาท แต่ทางครอบครัวนายชลวิทย์ ยังไม่ยอมชำระเงินตามคำสั่งศาล

ซึ่งเหยื่อทั้ง 3 รายประกอบไปด้วยคุณสุนิตตา ได้รับบาดเจ็บกระดูกกรามแตก ฟันหักทั้งหมด 11 ซี่ ฟันที่เหลือกลายเป็นฟันที่ไม่สมบูรณ์ ต้องรักษาทั้งช่องปาก

คุณณัฐินี ได้รับบาดเจ็บต้องเย็บแผลถึง 58 เข็ม กระดูกซี่โครงหัก และกระดูกบริเวณนิ้วเท้าแตก ซึ่งส่งผลกระทบถึงการใช้ชีวิตในปัจจุบัน เพราะทำให้ไม่สามารถเดินเท้าเปล่าได้ และยังต้องเลเซอร์ลบรอยแผลเป็น หมดไปกว่า 6 แสนบาท

ผู้บาดเจ็บหนักที่สุดนั้นคือ น้องปลั๊ก โชติกา ที่ปัจจุบันน้องไม่สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ต้องนั่งรถเข็น เดินเหินไม่ค่อยสะดวก และสามารถพูดคุยได้อย่างคนปกติ เนื่องจากสมองของน้องได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก ถึงขั้นต้องผ่าตัดใส่กะโหลกศีรษะเทียม

1g

ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก เมื่อเสี่ยเอ็มหลานอาม่าก่อวีรกรรมอีกแล้วคราวนี้เป็นคดีทำร้ายร่างกายแฟนสาวที่ตั้งท้อง 2 เดือน จนบาดเจ็บเลือดออก โดยพี่ชายของแฟนเสี่ยเอ็มแฉว่า น้องเขยได้ทำร้ายร่างกายทั้งที่รู้ว่าผู้หญิงกำลังตั้งครรภ์ 2 เดือน

ซ้อมหนักจนฝ่ายหญิงทนไม่ไหวต้องโทรศัพท์ไปหาพี่ชายให้มาช่วยนอกจากนี้ฝ่ายหญิงยังเผยอีกว่าเสี่ยเอ็มได้เอาเงินไปอีก 150,000 บาท แต่ไม่ยอมคืนพร้อมกับบอกว่าจะไม่คืนให้ ถ้าอยากได้ให้ไปฟ้องเอา

จากทั้ง 3 คดีที่เกิดขึ้นทำให้โลกออนไลน์ต่างออกมาวิพากพิจารณ์ถึงการกระทำของเสี่ยเอ็มว่าเป็นภัยต่อสังคมหรือไม่และที่สำคัญกระผิดซ้ำซากแต่ทำไมถึงถูกดำเนินคดีใดๆ ทั้งที่ก่อเหตุมามากมาย ส่วนเงินค่าเยียวยาเหยื่อจะมีสิทธิ์ได้คืนหรือไม่?

ewqwe

Sanook! News ได้ติดต่อสัมภาษณ์ ทนายวรวัฒน์ บุญฤทธิ์ ซึ่งได้แสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีประมาทการที่ศาลจะพิพากษาว่าให้จำคุกจำเลยหรือไม่อยู่ที่ว่าจำเลยได้เยียวยาผู้เสียหายเหมาะสมหรือไม่ในทางอาญา

สมมุติว่าเค้าเยียวยาค่าเสียหายเป็นที่พอใจของศาลศาลก็อาจจะใช้ดุลยพินิจในการลงโทษไม่ว่าจะเกิดจากครั้งที่ 1 หรือ ครั้งที่ 2 เนื่องจากว่าเป็นคดีประมาทคือไม่ได้เจตนาโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี

บางทีถ้าหากว่ารถมีประกันภัย ซึ่งประกันภัยก็อาจเป็นผู้ชดใช้ค่าเสียหายแทนจนเป็นที่พอใจของศาลแล้วศาลก็จะใช้ดุลยพินิจในการตัดสินการลงโทษตามที่เห็นควร ซึ่งคดีขับรถโดยประมาทส่วนมากจะรอลงอาญาเพราะเกิดจากความประมาท แต่หากพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากความตั้งใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องไปพิสูจน์กันในชั้นศาล

แต่หากผู้เสียหายไม่พอใจค่าเสียหายก็สามารถไปยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งได้ อย่างเช่นกรณีเหยื่อทั้ง 3 คนที่ฟ้องจำเลยและศาลได้ตัดสินให้จำเลยชดใช้เป็นเงิน จำนวน 14 ล้านบาท แต่ทางจำเลยอ้างว่าไม่มีเงินและยังไม่จ่ายก็ต้องบังคับคดีกันต่อไปเพื่อยึดทรัพย์และขายทอดตลาดเพื่อนำมาชดใช้หนี้ ซึ่งผู้เสียหายมีเวลา 10 ปีในการบังคับคดี

626001workpointtv

ส่วนสาเหตุที่ยังไม่ได้เงินและไม่สามารถยึดทรัพย์สินได้เพราะจำเลยไม่มีอะไรที่เป็นทรัพย์สินเลย ถึงแม้จะดูว่ามีเงินใช้มีรถขับแต่เงินที่ได้ไม่ใช่ของตัวเองแต่เป็นของญาติหยิบยื่นให้ เราก็ไม่สามมารถไปยึดเอาจากครอบครัวได้ ถึงแม้จะดูขัดกับความรู้สึกไปหน่อย แต่นี่ก็คือช่องของจำเลยที่จะเอาตัวรอดนั่นเอง

สุดท้ายนี้ถึงจำเลยอาศัยช่องของกฎหมายในการลบเลี่ยง แต่อยากให้เข้าใจสักนิดนึงว่าคุณเป็นผู้ที่ทำให้พวกเค้าเดือดร้อนฉะนั้นแล้วควรที่จะหันกลับมารับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำจะดีกว่านี้ ทนายวรวัฒน์ บุญฤทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย

ชนยับ จับเละ รอดคุก บ้านเมืองมีกฎหมาย สังคมมีกฎของการอยู่ร่วมกัน หากละเมิดทางใดทางหนึ่งแล้วไม่รับผิดชอบ ในทุกวันๆที่ตื่นขึ้นมาจะสามารถทนอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างไร หากต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดีไม่มีความรับผิดชอบ และความไม่ดีที่สร้างไว้จะกลายเป็นมหากาพย์ที่คนต่างพูดถึงยันชั่วลูกชั่วหลาน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook