คอ ชา-กาแฟ เตรียมกินของแพง! คลังเล็งปรับภาษี

คอ ชา-กาแฟ เตรียมกินของแพง! คลังเล็งปรับภาษี

คอ ชา-กาแฟ เตรียมกินของแพง! คลังเล็งปรับภาษี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปธ.หอค้าติงนายกฯ ไม่ควรใช้ "ซีแอล" ตอบโต้สหรัฐ แนะจับเข่าคุยบ.ยาโดยตรงดีกว่า พาณิชย์ปัดกดดันให้เลิก แค่แนะช่วงนี้ไม่ควรใช้ซีแอลยาตัวใหม่ ระบุเอกชนห่วงสถานะแย่ลง คอ "ชา-กาแฟ" เตรียมกินของแพง คลังพุ่งเป้าเก็บภาษีสรรพสามิต หวังกวาดรายได้เพิ่ม 3 หมื่นล.

หอค้าติงนายกฯโต้มะกัน"ซีแอล"

นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทย กล่าวเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีประกาศจะใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา(ซีแอล) ว่า รัฐบาลไทยคงไม่ทำอะไรที่เป็นแรงกดดันต่อการทบทวนกลุ่มประเทศการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ ซึ่งไม่ขอออกความคิดเห็นว่าเหมาะสมหรือไม่ต่อการเพิ่มการใช้ซีแอลกับยาชนิดใดอีก เพราะขึ้นอยู่กับความต้องการที่แท้จริง และที่ผ่านมาไทยก็ไม่ได้ทำอะไรที่เสียหายต่อบริษัทยา และการใช้สิทธิซีแอลก็อยู่ตามกรอบขององค์การการค้าโลก

"ไม่เห็นด้วยที่จะมีการตอบโต้กัน ใช้วิธีอื่นกันได้ ทั้งการเจรจากับบริษัทยาโดยตรง หรือให้เงินช่วยเหลือคนไข้ไทยแทน เพราะแรงกดดันไม่ว่าเป็นฝ่ายใดก็ไม่ก่อให้เกิดผลดี" นายประมนต์กล่าว

พาณิชย์ปัดกดดันสธ.เลิกซีแอล

นายกฤษฎา เปี่ยมพงศ์สานต์ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะที่ดูแลกรมทรัพย์สินทางปัญญา ยืนยันว่ากระทรวงพาณิชย์ไม่เคยประกาศหรือมีนโยบายห้ามการบังคับใช้ซีแอล เพียงแต่มีท่าทีชัดเจนตามนโยบายของรัฐบาล ว่าหากจะมีการใช้ซีแอลจะให้มีการปรึกษาหารือระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวข้องก่อน โดยกระทรวงฯมีความเห็นตรงกับกระทรวงสาธารณสุข ที่จะใช้ซีแอลยาตามความเหมาะสมและความจำเป็น เพื่อให้คนไทยเข้าถึงยาได้ทั่วถึง และเป็นไปตามเงื่อนไขที่องค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) กำหนดไว้

นายกฤษฎาก กล่าวว่า หนังสือที่กรมทรัพย์สินฯ มีถึงกระทรวงสาธารณสุข เป็นการชี้แจงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า ภาคเอกชนสหรัฐฯ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยามีความเห็นว่าไทยยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการใช้ซีแอล และยังมีปัญหาในเรื่องยาปลอม และเสนอให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) พิจารณาปรับไทยจากบัญชีประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ (พีดับเบิลยูแอล) เป็นประเทศที่ไม่ให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในระดับรุนแรง (พีเอฟซี) กระทรวงฯ จึงได้ขอทราบแนวทางดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขในเรื่องนี้ เพื่อนำไปใช้ชี้แจงสหรัฐฯ ในการเดินทางไปสหรัฐฯ ของนายอลงกรณ์ในเดือนมีนาคม

"ไม่ได้มีข้อความใดที่ระบุว่าขอให้กระทรวงสาธารณสุขยกเลิกการใช้ซีแอล เพื่อแลกกับการถูกปลดออกจากบัญชีพีดับเบิลยูแอล" นายกฤษฎากล่าว

เชื่อสถานะการค้าไทยไม่แย่ลง

นางพวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญากล่าวว่า การพิจารณาที่เป็นธรรมและเอาจริงเอาจังต่อการปราบปรามการละเมิด ไม่น่าจะทำให้สถานะของไทยแย่ลง หรือเข้ากลุ่มประเทศที่ไม่ให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในระดับรุนแรง (พีเอฟซี) สิ่งที่เราทำได้คือการชี้แจงในสิ่งที่เราทำ โดยวันที่ 9-17 มีนาคมนี้ นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะชี้แจงข้อเท็จจริงต่อตัวแทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) และเอกชนอุตสาหกรรมสำคัญของสหรัฐฯ เช่น ยา ภาพยนตร์

แหล่งข่าวในกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า มีแนวโน้มสูงที่สหรัฐฯจะยังคงสถานะประเทศไทยเป็นประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ (พีดับเบิลยูแอล)เหมือนเดิมต่ออีกปี แม้ว่าภาคเอกชนสหรัฐฯ โดยเฉพาะบริษัทยาของสหรัฐฯจะแสดงความเห็นต่อไทยอย่างรุนแรง เพราะไม่พอใจที่ไทยใช้ซีแอลและมียาปลอมระบาด รวมทั้งไม่รับเงื่อนไขการเชื่อมโยงข้อมูลเกินที่ทรัพย์สินทางปัญญาโลกกำหนดไว้ ถึงขั้นขอให้จัดไทยอยู่ในกลุ่มพีเอฟซี

แนะอย่าเพิ่งใช้ซีแอลยาตัวใหม่

ในรายงานของกระทรวงพาณิชย์ทำถึงนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ ถึงสถานการณ์ และข้อคิดเห็นจากภาคเอกชนในอุตสาหกรรมต่างๆต่อการดูแลการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ในส่วนของการใช้ซีแอลของไทยไม่ได้ขัดข้อกฎหมายในองค์การการค้าโลก(ดับเบิลยูทีโอ) และไทยเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามยาปลอม แต่เห็นว่า ขณะนี้ไม่ควรใช้ซีแอลกับยาตัวใหม่ เพราะยังเห็นถึงความจำเป็นและไทยทำได้ในกรอบข้อตกลงสากล

แหล่งข่าวกล่าวว่า ภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรมของไทยแสดงความวิตกว่า หากสหรัฐมีการทบทวนและจัดให้ไทยอยู่ในระดับที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาขั้นรุนแรง จะส่งผลให้สหรัฐใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าอื่นๆรุนแรงขึ้น จนเป็นอุปสรรคทำให้การส่งออกของไทยตกต่ำลงไปอีก หรือตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(จีเอสพี) สำหรับสินค้าไทยที่นำเข้าในสหรัฐฯ มูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี โดยปัจจุบันไทยได้สิทธิจีเอสพี 3,400 รายการ

คลังบี้เก็บภาษี"ชา-กาแฟ"

นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้มอบหมายให้นางสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง รับผิดชอบดูแลการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ทั้งระบบ โดยเฉพาะภาษีบาป (SIN TAX) เช่น สุรา ยาสูบ เครื่องดื่มชูกำลัง และชา กาแฟ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ รวมถึง สถานประกอบการด้านบันเทิง ซึ่งคาดว่าจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 30,000 ล้านบาท เบื้องต้นจะเริ่มเก็บภาษีสรรพสามิตจากชา และกาแฟ ที่บรรจุอยู่ในรูปกล่องและกระป๋อง ที่ปัจจุบันได้รับการยกเว้นภาษี โดยในสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้ประกอบการมาหารือ ส่วนเกณฑ์การเก็บภาษีจะดูตามปริมาณที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบได้ภายในสองสัปดาห์นี้

"สาเหตุที่เราดูเรื่องภาษีบาป ในส่วนของชา กาแฟ เป็นอันดับแรก เพราะเป็นสินค้าที่อยู่ในดุลยพินิจของกรมสรรพสามิตและรัฐมนตรีที่กำกับดูแล ให้ออกเป็นประกาศกฎกระทรวงได้ทันที ไม่ต้องให้ครม.พิจารณาเหมือนสินค้าอื่น แต่ถ้าเราเก็บภาษีชา กาแฟ จริง ก็จะส่งเรื่องให้ครม.รับทราบด้วย โดยจะทำให้เกิดขึ้นจริงภายในปีงบประมาณ 2552" นพ.พฤฒิชัยกล่าว

อย่างไรก็ตาม นพ.พฤฒิชัย ปฏิเสธที่จะตอบคำถามที่ว่า การเก็บภาษีชา กาแฟ จะครอบคลุมถึงร้านค้าด้วยหรือไม่ และจะเป็นการผลักภาระให้กับประชาชนหรือไม่

เล็งจัดระเบียบภาษีสรรพสามิตใหม่

นางสาวสุภา กล่าวว่า ในวันที่ 13 มีนาคม จะเรียกประชุมคณะกรรมการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตทั้งระบบเป็นนัดแรก โดยกรรมการชุดนี้มีหน้าที่ศึกษาและปรับระบบจัดเก็บภาษีสรรพสามิตให้ทันสมัย โดยจะดูกฎระเบียบทั้งหมดว่า ภาษีประเภทใดมีข้อกฎหมายที่ไม่ชัดเจน ทำให้ตีความแตกต่างระหว่างประชาชนกับข้าราชการ และเกิดปัญหาการปฏิบัติ โดยจะแก้ไขปรับปรุงเพื่อลดการใช้ดุลพินิจให้มากที่สุด คาดว่าจะได้ข้อสรุปใน 30 วันตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคมที่มีการตั้งคณะกรรมการชุดนี้

นางสาวสุภา กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการหารือเรื่องการจัดเก็บภาษีชา กาแฟ หรือเรียกผู้ประกอบการมาทำความเข้าใจ ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดนี้จะต้องพิจารณาด้วยว่า หากมีสินค้าตัวใดที่กำหนดพิกัดภาษีเอาไว้ แต่ยังไม่มีการจัดเก็บ ก็ต้องพิจารณาความจำเป็นว่าจะต้องจัดเก็บหรือไม่ด้วย
อย่างไรก็ตามนางสาวสุภาปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงแก้ไขกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีจากสถานบริการ

รบ.ไม่ตกใจคนตกงานเป็นแสน

ที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่ ตัวเลขคนว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 100,599 ราย อยู่ในความคาดหมายของรัฐบาลอยู่แล้ว แต่เชื่อว่ามาตรการแก้ไขปัญหาด้วยการจัดฝึกอบรมแรงงาน จำนวน 5 แสนคนจะสามารถบรรเทาปัญหาได้อย่างแน่นอน

ด้านนายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า จำนวนคนว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 1 แสนกว่าคน เป็นตัวเลขที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เพื่อขอใช้สิทธิได้รับเงินช่วยเหลือ 50% ของอัตราค่าจ้างในช่วงที่ตกงาน แต่ปกติ ภายหลังการขึ้นทะเบียน ก็จะมีแรงงานกว่าครึ่งที่ได้งานทำใหม่ โดยหลังจากนี้อาจจะมีแรงงานบางส่วนได้งานใหม่แล้ว แต่กระทรวงแรงงานจะสำรวจข้อมูลอย่างละเอียด โดยเฉพาะการหมุนเวียนของแรงงานที่ตกงาน และได้งานทำใหม่ เพื่อเสนอที่ประชุมครม.เศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า

นายไพฑูรย์กล่าวว่า ธุรกิจที่ปลดคนงานออกในขณะนี้ ยังอยู่ที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อะไหล่รถยนต์ อัญมณี และสิ่งทอ เหมือนเดิม โดยแนวทางแก้ปัญหาคือการของงบ 1 พันล้านบาท จากวงเงิน 6.9 พันล้านบาท มาฝึกอบรมแรงงานเพื่อชะลอการเลิกจ้าง ซึ่งขณะนี้ยัไม่สามารถเบิกมาใช้จ่ายได้ แต่หากได้งบมา และเริ่มฝึกอบรม เชื่อว่าจะทำให้ผู้ประกอบการมั่นใจมากขึ้น และไม่ปลดคนงาน แต่ถ้าล่าช้า สถานการณ์จะยิ่งแย่ลง และทำให้แต่ละเดือน ตัวเลขแรงงานตกงานจะเพิ่มสูงขึ้น

นายกฯแจงสภากู้เงินตปท.

วันเดียวกัน ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดย พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาคนที่ 2 เป็นประธานการประชุม นายคมเดช ไชยศิวามงคล ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย ได้ตั้งกระทู้ถามสดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่ามีแนวทางแก้ปัญหาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจอย่างไร เนื่องจากชาวบ้านสอบถามว่า รัฐบาลนี้มาบริหารประเทศจะกู้ชาติหรือเอาชาติไปกู้ รัฐบาลบริหารงานด้านเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้า เหมือนจัดยาไม่ถูกโรค การจัดงบประมาณไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า ปัญหาเรื่องที่ประเทศไม่มีเงินในการพัฒนา คงจะไม่เป็นธรรมหากจะบอกว่า รัฐบาลที่เพิ่งเข้ามาบริหารประเทศ 2 เดือนจะต้องรับผิดชอบ เพราะหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ประสบปัญหาเศรษฐกิจ แต่กลับไม่สะสมเงินเอาไว้ใช้จ่ายในปัจจุบัน เพราะถ้าฐานะการเงินของไทยดีอยู่แล้วปัญหาการกู้เงินคงไม่เกิด

ซัดกันนัว"ปชป.-พท."ต้นตอวิกฤต

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องความมั่นคงของประเทศ น่าเสียดายที่หลายเรื่องไม่ได้เดินมาตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจดี แต่รัฐบาลก็พยายามตั้งต้นแก้ปัญหาในทุกเรื่อง ตนไม่ประสงค์ที่จะขัดแย้งกับใคร แต่ความคิดเรื่องกฎหมายปรองดองเกิดปัญหาภาวะการเมืองตั้งแต่ปีที่แล้ว และขอบคุณฝ่ายค้านที่เห็นชอบจะให้สถาบันพระปกเกล้าฯ ตั้งตุ๊กตาดูว่า จะปฏิรูปการเมืองอย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการชี้แจงของนายอภิสิทธิ์ มีส.ส.พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงพอสมควร อาทิ นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม ที่ตอบโต้ว่า การกู้งินไอเอ็มเอฟของรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ สืบเนื่องมาจากการเปิดเสรีการลงทุนในลักษณะวิเทศธนกิจ ทำให้สถาบันการเงินไม่สามารถจ่ายหนี้ได้จนเป็นภาระของรัฐบาลพล.อ.ชวลิต และเหตุผลรัฐบาลนี้ต้องจัดงบแบบขาดดุล 2 แสนล้านบาท เพราะมีกลุ่มประชาชนไปปิดล้อมที่ต่างๆ หรือไม่

เมื่อการอภิปรายมาถึงช่วงนี้ทำให้ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ อดีตรัฐมนตรีช่วยคลังขณะนั้นลุกขึ้นประท้วงและอภิปราบตอบโต้ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงอีกครั้งว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีคลัง ขณะนั้นด้วย เพราะการเปิดวิเทศธนกิจ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้นได้จัดทำแผนการบริหารการลงทุนไว้ เแต่ไม่มีโอกาสได้ใช้เพราะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก่อน ส่วนการจัดงบแบบขาดดุล ไม่ได้เกิดจากการที่ม็อบไปปิดสนามบินหรือทำเนียบรัฐบาล

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook