เรืองไกร ยื่นป.ป.ช.สอบ รมช.สธ. สงสัยซุกหุ้น มีพี่สาวเป็นนอมินี มูลค่าหลาย10ล้านในบริษัทก่อสร้าง

เรืองไกร ยื่นป.ป.ช.สอบ รมช.สธ. สงสัยซุกหุ้น มีพี่สาวเป็นนอมินี มูลค่าหลาย10ล้านในบริษัทก่อสร้าง

เรืองไกร ยื่นป.ป.ช.สอบ รมช.สธ. สงสัยซุกหุ้น มีพี่สาวเป็นนอมินี มูลค่าหลาย10ล้านในบริษัทก่อสร้าง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรืองไกร ยื่นหนังสือต่อปธ.ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบ รมช.สาธารณสุข ชี้มีการโอนหุ้นในบริษัทก่อสร้างไปมาในระหว่างหมู่เครือญาติ ส่อซุกหุ้นมี พี่สาว เป็นนอมินี มูลค่าหลายสิบล้านบาท

แม้ว่า ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) เนื่องคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ส่งคำร้องให้ศาลฎีกาพิจารณาว่าองค์กรที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เข้าสรรหาเป็น ส.ว.สรรหาไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่นายเรืองไกรยังคงเดินหน้าในการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินรัฐมนตรีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดนายเรืองไกรเปิดเผย เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ว่าได้ยื่นหนังสือถึงประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของ นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ว่า มีการปกปิดการถือครองหุ้น หจก.ท่าราบก่อสร้าง หรือไม่

ทั้งนี้ ในหนังสือของนายเรืองไกร ที่ทำถึงประธาน ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า นายมานิต ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินกรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2551 แจ้งว่า มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 379,174,685.01 บาท

ขณะที่บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินกรณีเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2551 แจ้งว่า มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 255,985,063.85 บาท มีทรัพย์สินลดลงในระยะเวลา 11 เดือน เป็นเงิน 123,189,621.16 บาท (หนึ่งร้อยยี่สิบสามล้านหนึ่งแสนแปดหมื่นเก้าพันหกร้อยยี่สิบเอ็ดบาทฯ)

นายมานิต แจ้งในแบบแสดงรายการทรัพย์สินฯ กรณีเข้ารับตำแหน่งส.ส. เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2551 ว่า มีเงินลงทุน 125,491,140 บาท ขณะที่รายการทรัพย์สินฯ กรณีเข้ารับตำแหน่งรมช.สาธารณะสุข ระบุว่า มีเงินลงทุน 2,596,781.21 บาทเท่ากับมีเงินลงทุนลดลงในรอบ 11 เป็นเงิน 122,894,358.79 บาท ส่วนทรัพย์สินและหนี้สินรายการอื่นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีนัยสำคัญ

ในจำนวนเงินลงทุนที่ลดลงได้ตรวจพบในเบื้องต้นว่า เป็นเงินลงทุนใน หจก.ท่าราบก่อสร้าง ที่เคยแจ้งไว้ในกรณีรับตำแหน่งส.ส.จำนวน 78,000,000 บาท (รวมบุตร 2 คน)

จากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า หจก.ท่าราบก่อสร้าง มีส่วนของผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งสิ้นมูลค่า 100 ล้านบาท โดยมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของผู้เป็นหุ้นส่วนตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2549 ถึงวันที่ 23 ธันวาคม 2551 รวม 4 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2551 นายมานิตกับบุตร ได้โอนส่วนของผู้เป็นหุ้นส่วนจำนวน 99 ล้านบาทไปให้กับนางพวงทอง คุณาชีวะ พี่สาวนายมานิต

ขณะที่ก่อนหน้านั้น เอกสารจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า การถอนหุ้นไว้เป็นลำดับดังนี้

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551 นายมานิต ได้รับชำระเงินลงหุ้น(ค่าซื้อหุ้น)เป็นเงินสด 35 ล้านบาท จากนางสาวกุลวดี นพอมรบดี ลูกสาวของนายมานิต

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2551 หจก. ท่าราบก่อสร้าง ได้รับชำระเงินลงหุ้นเพิ่มทุนเป็นเงินสด 42 ล้านบาท จากนางสาวกุลวดี

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2551 หจก. ท่าราบก่อสร้าง ได้รับชำระเงินลงหุ้นเพิ่มทุนเป็นเงินสด 98 ล้านบาท จากนางพวงทอง คุณาชีวะ

หนังสือนายเรืองไกรระบุว่า เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในส่วนของผู้เป็นหุ้นส่วน หจก.ท่าราบก่อสร้าง ดังกล่าวมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มบุคคลที่เป็นพ่อกับลูก และเป็นญาติ จึงมีประเด็นข้อสังเกตว่า การแจ้งบัญชีทรัพย์สินฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเงินลงทุนในส่วนของผู้เป็นหุ้นส่วนหจก.ท่าราบก่อสร้าง ของนายมานิตมีการเปลี่ยนแปลงจำหน่ายจ่ายโอนกันจริงหรือไม่ เนื่องจากการชำระเงินทำเป็นเงินสดที่มีจำนวนมาก อีกทั้งไม่พบยอดเงินหรือทรัพย์สินอื่นที่ควรจะเพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายจ่ายโอนเงินลงทุน ที่ควรมียอดแสดงไว้ในบัญชีกรณีเข้ารับตำแหน่งรมช.สาธารณะสุขของนายมานิตและบุตรสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเป็นเงินลงทุนรวมกันสองคน เป็นเงินประมาณ 57 ล้านบาท

จึงอาจเข้าใจได้ว่า นายมานิต อาจไม่ยื่นรายการทรัพย์สินให้ตรงกับความเป็นจริง หรือปกปิดรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 263 หรือมีการนำส่วนของเงินลงทุนที่ควรเป็นของตนเองไปฝากไว้ในชื่อของบุคคลอื่นคือพี่สาวของนายนายมานิต

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook