เปิดใจ สาวพิการสมองฝ่อสู้ชีวิตหาเงินรักษาพ่อป่วยติดเตียง

เปิดใจ สาวพิการสมองฝ่อสู้ชีวิตหาเงินรักษาพ่อป่วยติดเตียง

เปิดใจ สาวพิการสมองฝ่อสู้ชีวิตหาเงินรักษาพ่อป่วยติดเตียง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากกรณีที่โลกออนไลน์มีการแชร์ภาพและข้อความจากเฟซบุ๊ก Randekdek Kidshop ซึ่งเล่าถึง ความลำบากและการสู้ชีวิตของตัวแทนจำหน่ายสินค้าสำหรับเด็กในเฟซบุ๊กของตนเองว่า "จากโพสก่อนหน้านี้นะคะ. ที่กิ่งเขียนถึงตัวแทนขายในกลุ่ม ชื่อ ตาล ตาลเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง อาศัยที่จังหวัดอุบลฯ

ก่อนหน้านี้ตาลก็แข็งแรงเหมือนคนทั่วๆไป แต่หลังจากเริ่มตั้งท้อง โรคทางพันธุกรรมก็แสดงออก นั่นคือ โรคสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวฝ่อ ทำให้แขนและขาไม่มีแรง. เริ่มเป็นตั้งแต่พฤษภาคม 2559 จากนั้นตาลก็อาการหนักขึ้น ไปทำงานไม่ได้ และเดินไม่ได้ หลายครั้งก็อยากจะฆ่าตัวตาย จะได้ไม่เป็นภาระของใคร แต่สามีก็คอยให้กำลังใจเสมอ ว่าบอกว่าจะดูแลเมีย ลูก และพ่อตา แม่ยายตลอดไป ลูกคลอดเมื่อเดือนธันวาคม ชื่อน้องเฟซ หน้าตาน่าเอ็นดู แต่มีอาการเท้าปุก

และผ่านไปเพียง 1 เดือน คือ มกราคม 2560 จู่ๆ สามีของตาลก็เป็นโรคหลอดเลือดใหญ่ในทรวงอกแตก เป็นโรคใหม่ที่รักษาไม่ได้ เสียชีวิตเฉียบพลัน สามีตาย สาวพิการ 1 คน ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อลูก และต้องหาเงินเลี้ยงลูก เธอจึงเลือกที่จะเป็นตัวแทนขายสินค้าแม่และเด็ก ไม่ต้องสต๊อกของ แค่เอารูปไปโพสขาย หักส่วนแบ่งกำไรไว้ แล้วโอนทุนให้ร้านส่ง ได้พอมีกำไรมาใช้จ่ายค่านมค่าแพมเพิส และค่ากิน

โดยมีพ่อของตาลที่ทำงานนอกบ้าน ช่วยเหลือลูกสาวและหลานได้อีกทาง ส่วนแม่ของตาล ก็อยู่บ้าน คอยดูแลตาล และเลี้ยงน้องเฟซให้ เพราะตาลไม่มีแรงอุ้มลูก อาบน้ำให้ลูกไม่ได้ ป้อนข้าวลูกก็ไม่เข้าปาก เพราะมือสั่น ( เวลาโพสขายของ ยังพอจะใช้นิ้วจิ้มๆมือถือได้ค่ะ) ต่อมาเมื่อต้นเดือน พ่อตาลป่วย เข้าไอซียู ปอดติดเชื้อ ตอนนี้พ่อออกจากรพ.แล้ว แต่กลายเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียง ทำงานไม่ได้. กิ่งไปรู้เรื่องเข้า เลยนำมาโพส"

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (6 ก.ย.) หลังทราบข่าวเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านหลังหนึ่ง หมู่ 4 ต.บุ่งไหม อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี  ซึ่งลักษณะเป็นบ้านไม้ผสมปูนชั้นเดี่ยวยกพื้น ภายในบ้านพบ นางสาวธนิดา หรือ ตาล อายุ 35 ปี กำลังนั่งเล่นกับน้องเฟซ ลูกชายซึ่งอายุ 9 เดือน และ นางมลิวัลย์ อายุ 55 ปี มารดาของ น.ส.ธนิดา โดยกำลังดูแล นายปัญโญ อายุ 59 ปี บิดา น.ส.ธนิดา ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียงเจาะคอ และสมองฝ่อไม่สามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้

จากสอบถาม น.ส.ธนิดา เปิดเผยว่าเรื่องราวอันสุดเศร้าว่า ก่อนหน้านี้ครอบครัวของตนมีฐานะปานกลางตน หลังจากเรียนจบ ป.ตรี ได้ไปทำงานและมีสามีที่จังหวัดปราจีนบุรี ก่อนจะกลับมาอยู่บ้านดูแลพ่อที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ ปอดติดเชื้อเจาะคอเป็นผู้ป่วยติดเตียง 

หลังจากกลับมาอยู่บ้านก็ได้สมัครเข้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ได้ 5 ปี ตนเองได้ตั้งครรภ์ 4 เดือนครึ่ง ร่างกายเริ่มมีอาการผิดปกติเดินไม่ตรงมือสั่น แพทย์ให้นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ประมาณ 1 เดือน ได้ข้อสรุปว่าโรคที่เป็นไม่สามารถรักษาได้เนื่องจากเป็นโรคเพาะตระกูลของตัวเองเป็นโรคทางพันธุ์กรรมสมองส่วนควบคุมฝ่อ ไม่มียาและวิธี

รักษาหลังจากตนเองคลอดลูกชายได้ 1 เดือน สามีก็มาเสียชีวิตอย่างกะทันหันจากโรคเส้นเลือดในทรวงอกแตกเหมือนเด็กที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นโรคที่เฉียบพลันและรุนแรงไม่สามารถรักษาได้ทัน เคราะห์ซ้ำยังไม่จบลูกชายที่พึ่งเกิดมากระดูกขาและเท้ามีการผิดรูปหรือเรียกว่าโรคเท้าปุก ต้องให้แพทย์เฉพาะทางและเงินในการรักษาจำนวนมาก แต่ด้วยสมาชิทั้งบ้านป่วยมีเพียงแม่เพียงคนเดียวที่ดูแลคนป่วย 3 คน จึงทำให้ไม่มีรายได้เข้ามาในครอบครัวเว้นแต่เบี้ยคนพิการ ของตนเองและพ่อ คนละ 800 บาท ต่อเดือน

ด้วยภาระในครอบครัวที่ต้องจ่ายค่าแพมเฟิส ค่านมของลูกชาย  ของพ่อที่ป่วย สายยางดูดเสมหะ ชุดทำแผล ค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ ที่สูงกว่าเดือนละ 10,000 บาท  ทำให้ตนเองต้องหารายได้เข้ามาช่วยเหลือครอบครัว ด้วยการเป็นตัวแทนขายของทางเฟซบุ๊ก ด้วยการรับเป็นตัวแทนขายสินค้ากลุ่มของเด็กมาขายบวกราคาเพิ่มเช่นทุนจากโกดังราคา 100 บาท ตนก็จะบวกเพิ่ม 5-20 บาท แล้วแต่สินค้าแต่ละชนิด

เมื่อลูกค้าสั่งของโอนเงินมาให้ตนก็จะโอนเงินไปให้โกดัง 100 เท่ากับต้นทุน แต่เมื่อโอนข้ามเขตก็จะเสียค่าธรรมเนียม ครั้งละ 10 บาท ทำให้กำไรที่ได้ก็ลดลงไปอีก หากจะบวกกำไรเพิ่มก็จะขายของไม่ได้ เนื่องจากมีคนขายเยอะและตัดราคากันบางวันขายได้ บางวันขายไม่ได้ บางครั้งทั้งอาทิตย์ขายไม่ได้เลยก็มี หากวันไหนลงขายเยอะเฟซบุุ๊กก็จะบล็อกเพราะถูกมองว่าเป็นสแปม บางครั้งก็โดนโกงโอนเงินไปไม่ส่งของมาให้

นางสาวธนิดา ยังกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ตนเองเป็นเสาหลักให้ครอบครัวหาเงินมาเลี้ยงดูพ่อแม่ แต่ตอนนี้ทำอะไรก็ไม่ได้แถมยังเป็นภาระให้กับแม่อีก ยอมรับว่าเคยคิดฆ่าตัวตายแต่ก็นึกถึงแม่ที่ยังสู้ดูแลเราและครอบครัวซึ่งมันหนักมากสำหรับแม่ ตนจึงฮึดสู้ต่อเพื่อที่จะเป็นกำลังใจให้กันและกันเลี้ยงลูกชายให้เติบโตขึ้นมา

หากถามว่าตอนนี้ต้องการความช่วยเหลืออะไรก็คงไม่พ้นเรื่องเงิน แต่ตนเองมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากผู้ใจบุญ 2 เรื่องคือ หากท่านใดอยากได้ตัวแทนจำหน่ายตนพร้อมที่จะรับสินค้ามาจำหน่ายทางเฟซบุ๊กเพื่อขอเป็นรายได้ในการเลี้ยงดูครอบครัว อีกเรื่องตนอยากจะให้วงการแพทย์เข้ามาศึกษาวิจัยโรคที่เป็นในครอบครัวของตน ว่าเกิดจากอะไรและจะต้องทำการรักษาอย่างไรเพราะอย่างน้อยอนาคตลูกชายของตนอาจจะเป็นเช่นเดียวกัน จึงอยากให้มีวิธีการรักษาเพื่อที่จะได้นำมารักษาลูกชายหรือครอบครัวอื่นที่เป็นเช่นเดียวกัน

เบื้องต้น นักสังคมสงเคราะห์ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุบลราชธานี ได้พิจารณาช่วยเหลือเป็นเงินช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน จำนวน 2,000.- บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พร้อมมอบรถเข็นสำหรับคนพิการ เนื่องจากรถเข็นคันเดิมใช้งานมานาน สภาพชำรุดทรุดโทรม พิจารณาปรับสภาพแวดล้อมบ้านสำหรับคนพิการ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ประสบปัญหา สามารถดำรงชีวิตได้อย่างอิสระและเหมาะสม

ทั้งนี้ การรักษาเท้าของน้องเฟซ ลูกชายของ น.ส.ธนิดา ได้รับความอนุเคราะห์จากหมอเด็กที่กรุงเทพฯ ซึ่งบินมารักษาน้องโดยที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยอาศัยพื้นที่ของโรงพยาบาลชุมชนในการรักษาแล้วก็บินกลับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook