“การ์ดแต่งงาน ใช้ชื่อปลอม” หลักฐานมัด “น้ำมนต์” เจตนาหลอกลวง

“การ์ดแต่งงาน ใช้ชื่อปลอม” หลักฐานมัด “น้ำมนต์” เจตนาหลอกลวง

“การ์ดแต่งงาน ใช้ชื่อปลอม” หลักฐานมัด “น้ำมนต์” เจตนาหลอกลวง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คำให้การของ “น้ำมนต์” หญิงสาว ที่ตกเป็นผู้ต้องหา หลอกแต่งงานกับชายหนุ่ม 14 คน ในรอบ 2 ปี และนำสินสอดหลบหนีไป เมื่อวานนี้เธอ ยัน “ไม่มีเจตนาหลอกลวง” แต่ล่าสุด อาจมีหลักฐานสำคัญ ที่จะบ่งบอกว่า การแต่งงานหลายครั้ง มีเจตนาที่จะไม่เปิดเผยความจริงตั้งแต่แรก ตั้งแต่ ชื่อ นามสกุล หรือแม้แต่ชื่อ พ่อ แม่ ซึ่งก็มาร่วมงานแต่งด้วย หลักฐานเหล่านี้ อยู่ในการ์ดแต่งงาน

เมื่อวันที่ (9 ก.ย. 60) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  การ์ดแต่งงานใบนี้ เป็นภาพของนางสาวจริยาภรณ์ หรือ น้ำมนต์ ซึ่งจัดงานแต่งงานกับ นายประสาร เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2558 กลายเป็นหลักฐานสำคัญในคดีทันที เพราะในการ์ดใบนี้ “น้ำมนต์” ไม่ได้ใช้ชื่อของเธอเอง แต่ไปใช้ชื่อของ ลูกพี่ลูกน้อง ที่ชื่อ นางสาวสร้อยเพ็ชร โดยในงานแต่งงานมีพ่อและแม่ของน้ำมนต์มาร่วมงานด้วย แต่มาด้วยชื่อปลอมเช่นเดียวกัน

ส่วน นางสาวสร้อยเพ็ชร เป็นชื่อของลูกพี่ลูกน้องที่ถูกเรียกมาสอบปากคำก่อนหน้านี้ และอ้างถูก "น้ำมนต์" มายืมบัตรประชาชน เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อนำไปสมัครงานร้านอาหารกลางคืน และยืนยันไม่มีเงินจากน้ำมนต์เข้าบัญชีของเธอ  แต่มาพบภายหลังมีบัญชีธนาคารอีกหนึ่งบัญชี ที่ถูกเปิดโดยใช้บัตรประชาชนของเธอ ที่ จ.เพชรบูรณ์

หลักฐานนี้ จะกลายเป็นหนึ่งในอีกหลายชิ้น ที่บ่งบอกว่า “น้ำมนต์” มีเจตนาหลอกลวงชายหนุ่มมาแต่งานด้วย ต่างจากคำให้การ ที่เธออ้างว่าไม่มีเจตนาหลอกลวง และได้ทรัพย์สินจากฝ่ายชายมาโดยเสน่หา

พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้บังคับการปราบปราม ระบุว่า การ์ดใบนี้อาจนำไปใช้เอาผิดน้ำมนต์ ในฐานความผิดฉ้อโกงเป็นปกติธุระ เพราะเห็นได้ว่า มีเจตนาหลอกลวงตั้งแต่ต้น และทำเหมือนเดิมหลายครั้ง เพราะผู้เสียหายอีก 4 คน ก็ถูกนางจริยาภรณ์สวมชื่อผู้อื่นมาแต่งงานเช่นเดียวกัน

ตำรวจจึงเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน ส่งให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พิจารณาเข้าฐานความผิดนี้หรือไม่ เพราะหากเข้าฐานความผิดนี้ สามารถตามยึดทรัพย์ได้ โดยจะรวมไปถึงเงินสินสอดที่เธอได้ไปก่อนหน้านี้ด้วย พร้อมมีโทษ จำคุก 3 ปี ต่อ 1 ข้อหา

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก ป.ป.ง. ว่าหากสืบเส้นทางการเงินและทราบนางจริยาภรณ์ โอนเงินไปให้บุคคลที่ 3 และแปรสภาพเงินเป็นทรัพย์สินก็จะถูกดำเนินคดีฐานฟอกเงินอีกคดี ซึ่งป.ป.ง.จะเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษด้วยตัวเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook