ผู้อยู่ในเหตุระเบิดภูทับเบิก เล่าวินาทีบึ้มฉีกร่างโชเฟอร์

จากกรณีเหตุการณ์ระเบิดบริเวณสามแยกทางขึ้นภูทับเบิก อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ จุดที่วางระเบิดเป็นจุดที่ตั้งศูนย์อำนวยการของเจ้าหน้าที่ ที่จะรวมพลเพื่อดำเนินการรื้อถอนรีสอร์ทบนภูทับเบิก และจะมีการมาตั้งศูนย์อีกครั้งในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ สำหรับชนิดของระเบิดคาดว่าเป็นลูกปืน ค. แต่ไม่ทราบขนาด ที่มีการดัดแปลงมาเป็นระเบิด

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 ราย คือ นายสวน อายุ 63 ปี มีอาชีพเป็นโชเฟอร์ขับรถกระบะรับ-ส่ง นักท่องเที่ยวขึ้นลงภูทับเบิก โดยก่อนเกิดเหตุนายสวน ได้ขับรถยนต์กระบะยกสูง ยี่ห้อฟอร์ด สีแดง ทะเบียน 3423 พานักท่องเที่ยวขึ้นไปบนภูทับเบิก

ภายหลังจากส่งนักท่องเที่ยวลงจากรถยนต์แล้ว นายสวนเกิดปวดปัสสาวะจึงได้เดินเข้าไปป่าริมทาง หลังจากปัสสาวะเสร็จได้เดินขึ้นมาบนถนน และเกิดการลื่นไถลลงไป นายสวนจึงได้คว้าเสาไม้ที่มีระเบิดฝังอยู่ด้านล่าง จนเกิดการระเบิดขึ้นจนนายสวนร่างกายแหลกเหลวเสื้อผ้าขาดวิ่น กระเด็นออกมานอนคว่ำหน้าตายคาที่ จมกองเลือดที่บริเวณไหล่ทางจุดเกิดเหตุ

ขณะที่ผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย คือ นางพรจินดา อายุ 55 ปี ที่นั่งอยู่เบาะหลังด้านซ้ายของรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า วีออส สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน กง 4806 ที่ลูกชายและลูกสะใภ้ขับมาจอดชมวิวทิวทัศน์ ใกล้บริเวณดังกล่าว โดยนางพรจินดา ถูกสะเก็ดระเบิดที่บริเวณหางตาด้านซ้าย และดวงตาข้างซ้าย ซึ่งแพทย์จะทำการผ่าตัดเอาเศษกระจกออกจากตาด้านซ้ายในวันนี้

ส่วนนักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บอีกคน เป็นชายไม่ทราบชื่อ ถูกสะเก็ดระเบิดที่บริเวณไหล่ขวา ในขณะที่ขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาพอดี หน่วยกู้ภัยร่วมกตัญญู และกู้ชีพโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหล่มเก่า ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหล่มเก่า

และหลังจาก นายพิบูลย์ หัตถกิจโกศล ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ไปเยี่ยมนางพรจินดา ซึ่งได้รับบาดเจ็บที่ตาข้างซ้าย นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหล่มเก่า โดยมีนางสาวกรรณิการ์ ลูกสะใภ้คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ได้เล่าถึงวินาทีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุตนและสามีได้ขับรถยนต์พานางพรจินดา มารดาของสามีไปเที่ยวที่ภูทับเบิก โดยมีสามีเป็นคนขับ

และขณะที่ถึงจุดเกิดเหตุซึ่งเป็นสามแยก สามีตนได้จอดรถ เพราะตนกับสามีไม่เคยขึ้นมาเที่ยวที่ภูทับเบิก จึงไม่รู้ว่าจะเลี้ยวไปทางไหน ก็ได้ยินเสียงระเบิดและเห็นคนนอนเสียชีวิตอยู่ริมถนน  และหันมาเห็นเลือดแดงไหลเต็มหน้าของนางพรจินดา ผู้เป็นแม่ซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังด้านซ้าย

ตนจึงได้บอกสามีให้ถอยรถออกจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุด เพื่อไปที่หน้าร้านค้า เพื่อขอให้ช่วยเรียกรถพยาบาลให้ ขณะที่นางพรจินดา ชุลี ผู้บาดเจ็บกล่าวว่า ขณะเกิดเหตุตนมองอะไรไม่เห็น เหมือนมีอะไรมาบังตา