10 ยอดกุนซือจ้าวแห่งยุโรป

10 ยอดกุนซือจ้าวแห่งยุโรป

10 ยอดกุนซือจ้าวแห่งยุโรป
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังเกมแชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายผ่านพ้นไป เราก็จะได้ 8 ทีมที่ดีที่สุดของยุโรปเข้ามาห้ำหั่นกัน เชื่อว่า นาทีนี้เต็งหนึ่งคงหนีไม่พ้นแชมป์เก่า "ปิศาจแดง" แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ปราบ อินเตอร์ มิลาน ด้วยผลงานที่ต้องยอมรับว่า "สุโค่ย" สุดๆ ขณะที่ขาประจำของรายการนี้อย่าง ลิเวอร์พูล ก็มาตามนัด พร้อมกับฟอร์มโหดด้วยการอัดทีมที่เป็นแชมป์รายการนี้มากครั้งที่สุดอย่าง รีล มาดริด ไปแบบเอาท์คลาส

การเข้ามาของทั้งสองทีม ถือว่าเป็นการการันตีความสุดยอดของทั้งสองกุนซือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ ราฟา เบนิเตซ ที่ยังคงทำผลงานได้อย่างสม่ำเสมอในเวทีแชมเปี้ยนส์ลีก ว่าแล้ว สื่อเมืองนอกเขาก็เลยจัด 10 ยอดกุนซือที่สมควรได้รับการยกย่องอย่างที่สุด กับฟุตบอลรายการสโมสรที่ดีที่สุดของโลกรายการนี้ เซอร์ อเล็กซ์ กับ 2 แชมป์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด จะติดไหมน้า... ราฟา เบนิเตซ กับค่ำคืนที่ อิสตันบูล จะติดไหมหนอ... โจเซ มูรินโญ่ "เดอะ สเปเชียล วัน" กับทีาม้ามืด อย่าง ปอร์โต้ จะติดหรือไม่ เราไปดูกัน!!!

1. บ็อบ เพสลี่ย์
บรมครูจากฝั่งแอนฟิลด์ ติดโผเข้ามาเป็นรายแรก โดย เพสลี่ย คุมทีม ลิเวอร์พูล เป็นเวลายาวนานกว่า 9 ปีด้วยกัน พ่วงด้วยแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ (เดิม) 3 สมัยในปี โดยเฉพาะการป้องกันแชมป์ได้สำเร็จในปี 1997 - 1978 และอีกหนึ่งสมัยในปี 1981 ซึ่งถือเป็นการการันตีว่า ลิเวอร์พูล ในยุคนั้นคือจ้าวแห่งยุโรปอย่างแท้จริง

2. โฆเซ่ บีญาลองก้า ญอเรนเต้
ญอเรนเต้ ถือเป็นยอดกุนซือในตำนานของ รีล มาดริด เพราะเขาคือคนแรกที่พา "ราชันชุดขาว" ประกาศความศักดาความเป็นโคตรทีมของยุโรป ด้วยการพาทีมเป็นแชมป์ในปีแรกที่มีการจัดการแข่งขัน คือเมื่อปี 1956 นอกจากนั้นในวัย 36 ปีกับ 184 วันของยอดโค้ชผู้ล่วงลับรายนี้ก็ยังคงเป็นสถิติอายุที่น้อยที่สุดของผู้จัดการทีมที่สามารถคว้าแชมป์มาได้จนถึงปัจจุบันนี้อีกด้วย

3. ไบรอัน คลัฟ
กุนซือปากตระไกรเป็นผู้ที่นำ ฟอเรสต์ ครองความเป็นจ้าวยุโรปในช่วงถัดมาต่อจาก ลิเวอร์พูล ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ได้สองปีซ้อนในปี 1979 - 1980 ซึ่งจัดเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของฟุตบอล ยูโรเปี้ยน คัพ เลยทีเดียว แถม ฟอเรสต์ ก็ตอบแทนความดีของ คลัฟ ด้วยการสร้างรูปปั้นเสมือนจริงไว้ที่สนาม ซิตี้ กราวด์ อีกต่างด้วย

4. เฮเลนิโอ เฮอร์ไรร่า
เฮอร์ไรร่า คือยอดกุนซือของ อินเตอร์ มิลาน ในแบบที่ โจเซ่ มูรินโญ่ ยังทำได้แค่มองเท่านั้น เนื่องจาก เฮอร์ไรร่า สามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้สองสมัยในปี 1964 - 1965 และเขายังเป็นคนแรกที่บัญญัตศัพท์ที่เรียกเหล่าแฟนบอลว่า เป็น "ผู้เล่นที่คนที่ 12" อีกต่างหาก

5. เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
สุดยอดกุนซือแห่งโลกฟุตบอลในยุคปัจจุบัน การันตีด้วยถ้วยใบโตของยุโรป 2 สมัยในปี 1999 และ 2008 และด้วยกับความเป็นเต็งหนึ่งในฤดูกาลนี้ หากลูกทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ สามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ มันก็จะส่งผลให้กุนซือชาวสกอตต์กลายเป็นผู้จัดการทีมคนที่สองเท่านั้นที่สามารถคว้าแชมป์ได้ถึง 3 ครั้ง ตามรอย เพสลี่ย์ ก่อนหน้านี้

6. บิเซนเต้ เดล บอสเก้
บิเซนเต้ เดล บอสเก้ ทำงานในถิ่น ซานติอาโก เบอร์นาเบว ระหว่างปี 1999 - 2003 โดยกุนซือหนวดเฟิ้ม โชคดีหน่อยที่มีขุนพล "กาลาติกอส" อันลือชื่อเป็นลูกทีม นอกจากนั้นความยอดเยี่ยมของ เดล บอสเก้ ยังถูกการันตีด้วยสถิติ เนื่องจากกุนซือทีมชาติสเปนคนปัจจุบัน ไม่เคยพาทีมทำผลงานต่ำกว่ารอบรองชนะเลิศเลยสักครั้ง

7. อาร์ริโก้ ซาคคี่
เชื่อหรือไม่ ก่อนที่ ซาคคี่ จะได้งานเป็นโค้ชฟุตบอลนั้น เขาเคยต้องทำงานเป็นเซลล์แมนขายรองเท้ามาก่อน อย่างไรก็ตาม นับว่า ซาคคี่ >พิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานล้วนๆ เมื่อพา เอซี มิลาน คว้าแชมป์ได้สองครั้ง 1989 - 1990 ก่อนจะย้ายไปรับงานกับ รีล มาดริด น่าเสียดายที่เจ้าตัวไม่ประสบความสำเร็จนักในสเปน

8. คาร์โล อันเชลอตติ
แม้สถานการณ์ ณ ปัจจุบันในถิ่นซาน ซีโร่ ของ อันเชลอตติ จะถือว่า ร้อนก้นสุดๆ แต่คงไม่มีใครปฎิเสธผลงานก่อนหน้านี้ของเขาได้ เมื่อกุนซือหน้าตาละม้ายคล้ายพี่แจ้บ้านเรา สามารถพา เอซี มิลาน คว้าถ้วยใบเขื่องของยุโรปมานอนกอดได้ 2 สมัยในปี 2003 และ 2007 นอกจากนั้น อันเชลอตติ ยังเป็น 1 ในเพียง 5 คนเท่านั้น ที่สามารถคว้าแชมป์รายการนี้ได้ทั้งในฐานะนักเตะและผู้จัดการทีม

9. อ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ และ แอร์นส์ท ฮัปเปิล
ฮิตซ์เฟลด์ หรือ "ท่านนายพล" และฮัปเปิล ติดโผด้วยอันดับเดียวกัน เพราะผลงานที่จัดว่า สูสีใกล้เคียงกัน เนื่องจากทั้งคู่เป็นเพียงสองรายในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลยุโรปรายการนี้ที่สามารถคว้าแชมป์สองครั้ง แต่ต่างทีมกัน โดย ฮิตซ์เฟลด์ ทำได้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (1997) และ บาเยิร์น มิวนิค (2001) ขณะที่ ฮัปเปิล ยอดกุนซือผู้ล่วงลับชาวออสเตรียทำได้กับ เฟเยนูร์ด (1970) และ ฮัมบูร์ก (1983)

10. หลุยส์ คานิกเกีย
ยอดกุนซือชาวอาร์เจนไตน์รายนี้ถือเป็นอีกตำนานบทหนึ่งของ รีล มาดริด เมื่อสามารถพาทีมเป็นแชมป์ได้สองครั้ง ด้วยเอาชนะ เอซี มิลาน 3-2 ได้ในปี 1958 และปีต่อมาก็คว่ำแร็งส์ ได้อีก 2-0 อย่างไรก็ตาม ตอนจบของ คานิกเกีย ในถิ่นซานติอาโก เบอร์นาเบว ดูไม่สวยนัก เมื่อเขาโดนปลดเพราะดันไปดรอปซูเปอร์สตาร์เบอร์หนึ่งของทีมในขณะนั้นอย่าง เฟรนซ์ ปุสกัส ในนัดชิงชนะเลิศปีหลังนั่นเอง  

                       No.18                                             

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook